นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะยังฟื้นตัวช้าและจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของการส่งออกเป็นยังแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในปีนี้ ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยคาดการณ์จีดีพีปี 67 เติบโต 2.9% กรณีไม่มีดิจิทัล วอลเล็ต หรือขยายตัว 3.7% กรณีมีดิจิทัล วอลเล็ต และคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ที่ 2.5% เกือบตลอดทั้งปี แต่มีโอกาสปรับลดลงได้หากการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้ หรือแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดไว้
"เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า นับว่าช้าที่สุดประเทศหนึ่งที่ยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนโควิดที่เฉี่ลยประมาณ 3% ซึ่งปัญหามีทั้งปัจจัยภายนอก และที่สำคัญคือปัญหาด้านศักยภาพ ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยเองที่ต้องมีการแก้ไข หรือเรียกได้ว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เรียกว่ามาถึงจุดพลิกผัน สิ่งที่สำคัญกว่าอาจจะไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร หรือจะแก้ไขอย่างไร แต่อาจจะเป็นการหาฉันทมติร่วมกันของสังคมว่าจะเริ่มแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร และเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มพูดคุยกัน เพราะการแก้ไขปัญหาพวกนี้ต้องใช้เวลา อาจจะหลายทศวรรษกว่าจะเห็นผล ขณะที่ในการประชุม กนง.ครั้งแรกของปีในต้นเดือนหน้า คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม แต่คะแนนเสียงจะเป็นเอกฉันท์หรือไม่นั้น ประเมินได้ยาก ขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักของคณะกรรมการใน 3 เรื่องหลักๆ คือ อัตราเงินเฟ้อ แนวโน้มเศรษฐกิจ และนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต และหากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าประเมินไว้ อาจจะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งปีหลัง"
ด้านเศรษฐกิจโลกโดยรวมมีทิศทางชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและสองของโลก นำโดยสหรัฐอเมริกาที่จะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าที่คาด ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับเผชิญกับปัญหาชะลอตัวอัตราดอกเบี้ยโลกผ่านจุดสูงสุดและเริ่มปรับตัวลดลง เงินเฟ้อโลกเริ่มปรับลดลง ทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้ แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังมีความแข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากไม่ได้นัก ขณะที่การเมืองระหว่างประเทศเป็นประเด็นที่มีความไม่แน่นอน และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะสงคราม และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา
**คาดเฟด-กนง.คงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งแรกของปี**
นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB FM) กล่าวว่า ธนาคารคาดการณ์การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดในคืนวันพุธนี้ จะคงดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นไปตามที่ตลาดคาด และจะยังโทน Hawkish อยู่ คือน่าจะสื่อสารว่าการลดดอกเบี้ยจะยังไม่เกิดขึ้นเร็วนัก และจะไม่ลดดอกเบี้ยแรงมาก รวมถึง Fed จะยังลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) ต่อ ส่วน กนง. มองว่าจะคงดอกเบี้ยในปีนี้ แม้ตลาดมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้ง สะท้อนจากตลาด Swap บนอัตราดอกเบี้ย THOR ระยะสั้นของไทยอยู่ต่ำกว่า Policy rate ซึ่งเหตุผลที่ตลาดมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยมาจากเงินเฟ้อไทยที่ติดลบ ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยที่ไม่ดีนักหลังเลขเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าคาด และแรงกดดันการเมืองที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับสูงเกินไปซึ่งกดดันค่าครองชีพครัวเรือน
ด้านเงินบาทกลับอ่อนค่าเร็วในช่วงต้นปีนี้หลังแข็งค่าขึ้นมากเมื่อปลายปีก่อน ซึ่งเงินบาทที่อ่อนค่านั้นเป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าตามมุมมองการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่ช้าลง และ Sentiment ในตลาดทุนไทยที่ยังไม่ค่อยดีนัก สำหรับมุมมองในระยะสั้นนี้ คาดว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าอยู่ โดยอาจอยู่ในกรอบราว 35.00-36.00 จาก 1) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจยังแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาด ทำให้เงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อได้ 2) ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังอ่อนแอต่อซึ่งกดดันเงินหยวนและค่าเงินภูมิภาคตามไปด้วย และ 3) นักลงทุนยังกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังมองว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าต่อได้ เนื่องจาก 1) เงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะชะลอลงต่อเนื่องโดยอัตราเงินเฟ้อต่อปีเฉลี่ย 3 เดือน ลดลงต่ำกว่า Fed’s target ที่ 2% แล้ว ทำให้ Fed อาจเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ได้ 2) ค่าเงินหยวนจะทยอยแข็งค่าขึ้นหลังภาครัฐออกมาตรการดูแลตลาดเงินต่อเนื่อง โดยล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณจากเลขการส่งออกจีนที่ขยายตัวสูงขึ้นและเงินเฟ้อจีนที่ติดลบน้อยลง และ 3) เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลมากขึ้นจากปีก่อน ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าสู่ระดับ 32.00-33.00 ณ สิ้นปีนี้ได้