เริ่มต้นวันแรกในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2566 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นซบเซาสุดขีด สะท้อนจากมูลค่าซื้อขายหุ้นที่ทรุดเหลือเพียง 21,857 ล้านบาท สร้างสถิติต่ำสุดในรอบปี
แม้ดัชนีหุ้นจะเดินหน้าต่อ +3.74 จุด ขยับขึ้นมาปิดที่ 1,408.83 จุด แต่มูลค่าซื้อขายกลับถดถอย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มหยุดฉลองเทศกาลคริสต์มาส และหยุดยาวจนถึงปีใหม่
ตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มเมื่อวันจันทร์ เห็นชัดว่าต่างชาติเริ่มหยุดการลงทุนแล้ว โดยสัดส่วนการซื้อขายของต่างชาติลดเหลือเพียงประมาณ 38% ของมูลค่าการซื้อขายโดยรวมทั้งตลาด จากเดิมที่ครองสัดส่วนประมาณ 52%
ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยกลับขึ้นมาระดับ 40% ของมูลค่าซื้อขายรวมของตลาด จากปกติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายประมาณ 31%
เป็นที่คาดหมายกันอยู่แล้วว่า ภาวะตลาดหุ้นในสัปดาห์สุดท้ายปีนี้จะเงียบเหงา เพราะต่างชาติพากันหยุดยาว ทำให้ชาดแรงซื้อขายของต่างชาติ นอกจากนั้น แนวโน้มตล่าดหุ้นปีหน้ายังไม่สดใส นักลงทุนในประเทศจึงไม่รีบร้อนเข้ามาซื้อหุ้น
การที่ต่างชาติพักการลงทุนในช่วงปลายปี นักลงทุนในประเทศมองเป็นเรื่องดี เพราะจะไม่มีแรงขายของต่างชาติที่จะกดราคาหุ้นให้ลง จนดัชนีถอยหลุด 1,400 จุด และถ้ามีแรงซื้อจากกองทุน TESG เข้ามาหนุน หุ้นมีโอกาสขยับไปถึงระดับ 1,420 จุด ในวันปิดสิ้นปีได้
และนักลงทุนพอใจที่จะเห็นดัชนีสิ้นปียืนอยู่แถว 1,420 จุด แม้สิ้นปี 2565 ดัชนีจะปิดที่ระดับ 1,668 จุดก็ตาม
ต่างชาติขายหุ้นมาตลอดทั้งปีแล้ว โดยมียอดขายหุ้นสะสมสุทธิจนสิ้นวันจันทร์ที่ผ่านมาจำนวน 195,963 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนมียอดซื้อ 1.98 แสนล้านบาท
หุ้นที่ซื้อไว้ปีก่อน ปีนี้ต่างชาตินำมาขายเกือบเกลี้ยง และไม่อาจประเมินได้ว่าปีหน้าต่างชาติจะหอบเงินกลับมาซื้อหุ้นอีกหรือไม่ นอกจากคาดหวังว่าปีนี้ต่างชาติเทขายหุ้นออกมาเยอะแล้ว จึงไม่น่าจะมีหุ้นขายอีกเท่าไหร่
ถ้าต่างชาติไม่กลับมา หรือยังขายต่อ ตลาดหุ้นปีหน้าคงไม่ฟื้นสู่ความคึกคักได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดหุ้นโดยรวม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า น่าจะกระเตื้องขึ้น ไม่เลวร้ายเหมือนปีนี้ที่ดัชนีร่วงลงประมาณ 250-260 จุด
เหลืออีกไม่กี่วันทำการ ตลาดหุ้นคงไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นแล้ว แม้แต่รายการวินโดว์เดรสซิ่ง หรือการทำราคาปิดหุ้น เพื่อให้บัญชีลงทุนในหลักทรัพย์สูงขึ้นคงไม่ออกฤทธิ์มากนัก การที่หุ้นจะขึ้นรอบเล็กๆ ส่งท้ายปีเก่าจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น
และนักลงทุนคงได้แต่นั่งเฝ้ากระดาน ดูความเหี่ยวเฉาของตลาดหุ้นในช่วงวาระสุดท้ายแห่งปี โดยไม่ซื้อไม่ขายอะไรมากนัก
เว้นแต่นักลงทุนที่พอร์ตยังพอมีที่ว่าง และพอมีเงินสดเหลืออยู่ในมือ อาจหาจังหวะทยอยเก็บสะสมหุ้นที่ราคาไม่แพงเกินไป และเป็นหุ้นที่มีอนาคตอยู่ เพื่อดักเก็งกำไรต้นปีหน้า
เพราะเดือนมกราคม เคยเกิดเหตุการณ์แจนยิวเอริเอฟเฟกต์ เปิดรับศักราชใหม่ หุ้นเคยพุ่งทะยาน โดยต่างชาติกลับมาไล่ซื้อ
ซึ่งมกราคม 2567 อาจเกิดขึ้นซ้ำรอยก็ได้
อย่างไรก็ตาม ส่งท้ายปีเก่า 2566 จะเป็นอีกปีที่ตลาดหุ้นเงียบเหงาสุดขีด ดีไม่ดี ปีนี้อาจไม่เห็นวอลุ่มซื้อขายระดับ 3 หมื่นล้านบาทอีกแล้ว
มองโลกในแง่ดี อีกไม่กี่วันปีแห่งความเลวร้ายของตลาดหุ้นจะปิดฉากลงแล้ว
ปีหน้าฟ้าใหม่ นักลงทุนรายย่อยที่รอดตายจากปีนี้คงได้ลืมตาอ้าปากกันบ้าง