xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ชู 3 แนวทางเสริมจุดแข็งตลาดทุน คาด TESG สร้างเม็ดเงินระดมทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนาแถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2567 ในหัวข้อ "นโยบายและทิศทางการพัฒนาตลาดทุนไทย" ว่า ปัจจัยพื้นฐานของตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งในระยะยาวและมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหุ้น ซึ่งไทยติดอันดับที่ 27 ของโลก และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน อีกทั้งมีมูลค่าเสนอขายหุ้น IPO สะสมย้อนหลังสูงที่สุดในอาเซียน เช่นเดียวกับสภาพคล่องนับตั้งแต่ปี 2555

ดังนั้น รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทั้งด้านดิจิทัลและด้านความยั่งยืน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งระบบตลาดทุน เศรษฐกิจโดยรวม และความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่เศรษกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (ESG economy)

ภาครัฐให้ความเห็นชอบมาตรการสนับสนุน Thailand ESG Fund ที่จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ระดมทุนในการต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจกิจสู่ความยั่งยืน การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม มีการกำกับดูแลกิจการที่ดีและต่อผู้มีเงินออมที่มีความสนใจในการลงทุนอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการได้ผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่าจะมี บลจ. ที่เสนอขายกองทุน ThaiESG จำนวน 16 บลจ. และจำนวนกองทุนรวม 25 กองทุน สร้างเม็ดเงินในการระดมทุนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จากผู้ลงทุนที่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี ไม่น้อยกว่า 100,000 บัญชี และคาดว่าจะส่งผลให้เกิดนักลงทุนหน้าใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเพิ่มขึ้นในบ้านเราอีกด้วย

นอกจากนี้ รัฐบาลได้เห็นชอบในหลักการที่จะลดอุปสรรคที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำทางภาษี ซึ่งถ้าแก้ได้จะส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเท่าเทียมยิ่งขึ้น ลดภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ออกและเสนอขาย รวมทั้งผู้ลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล และยังเป็นการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการระดมทุน ผ่าน investment token เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

รัฐบาลมีแนวทาง 3 ข้อด้วยกันที่จะเสริมสร้างจุดแข็งของตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป

- แนวทางแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศผ่านการผลักดันให้ตลาดทุนไทยเป็น investment destination ของภูมิภาค ซึ่งจะเพิ่มการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าเร่งเจรจา และขยาย Free Trade Agreement (FTA) เปิดตลาดใหม่ๆ และสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมทั้งส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้ผู้ลงทุนต่างประเทศ ผ่าน ease of doing business

นอกจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินการนำเสนอข้อมูลการลงทุนของตลาดหุ้นไทยผ่าน Road show เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

- แนวทางที่สอง คือ การ shift focus สู่ความยั่งยืน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนทุกภาคส่วน เพื่อเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง สู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainability Development Goals หรือ SDGs เป้าหมายของประเทศไทยด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2608 ในการดำเนินการสู่ความยั่งยืนนี้ รัฐบาลจะดำเนินการส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยพัฒนากลไกให้ภาคธุรกิจมีเงินทุนเพียงพอในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และมีเงินทุนเพื่อปรับตัวให้พร้อมรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมต่อไป

นอกจากนี้ ภาครัฐจะดำเนินการผลักดัน นโยบายการกระตุ้นตลาดตราสารหนี้สีเขียว หรือ Green Bond Market การระดมทุนเพื่อสนับสนุน SDGs และนโยบายการจัดหาเงินทุนที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล กลไกการเงินสีเขียว หรือ green finance mechanism โดยได้ตั้งเป้าการออกและเสนอขายตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "Sustainability-Linked Bond" ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อให้องค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินนโยบาย ที่สร้างความยั่งยืน และการจัดทำ Thailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมการเติบโต และการลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

- แนวทางที่สาม คือ การสนับสนุนการระดมทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล SMEs และ Startups เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เติบโตและขยายต่อไปได้ ในระดับโลก

*ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล

ภาครัฐจะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และในส่วน SMEs และ Startups ภาครัฐ จะมีการพัฒนากลไกช่วยเหลือผู้ประกอบการเหล่านี้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การจัดหาเงินทุน ตลอดจนการเปิดตลาด

นายเศรษฐา กล่าวว่า นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอีกหลายๆ ปัจจัยที่จะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ และยังมีนโยบายอีกหลายหลายด้านที่จะดำเนินการในภาคส่วนอื่นๆ ด้วย ซึ่งครอบคลุมทั้งการแก้ปัญหาของประชาชน การส่งเสริมภาคธุรกิจ การขยายการลงทุนและอื่นๆ อีกมากมายที่จะมาช่วยสร้างรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาส

นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า หากผนวกการดำเนินการของรัฐบาลในทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันแล้ว จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทย และตลาดทุนเติบโต และประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจนี้อย่างยั่งยืนต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น