"ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์" เดินหน้าลุยขยายฐานลูกค้าจีนและอินเดีย แย้มแนวโน้มผลงานไตรมาส 4 ปีนี้สดใส มองราคายางผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/2566 ผู้บริหารมั่นใจปริมาณขายยางแท่งปีนี้เข้าเป้า 2 แสนตัน หลัง 9 เดือนแรกทำได้แล้ว 1.5 แสนตัน เตรียมพร้อมรองรับมาตรการ EUDR เผยมาร์จิ้นได้ดีกว่ายางแท่งเกรดพรีเมียมปกติ
น.ส.สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TEGH) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากที่ลูกค้าทางฝั่งยุโรปเริ่มกลับมา และบริษัทได้ปรับการขายไปยังกลุ่มลูกค้าอินเดียกับจีนมากขึ้น เนื่องจากมองว่าปริมาณสต๊อกยางในประเทศจีนเริ่มทยอยลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าลูกค้าทั้งจีนและยุโรปจะกลับมาเพิ่มสต๊อกยางในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท พร้อมประเมินว่าราคายางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/2566
นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ขยายการลงทุนเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงผู้ผลิตยางล้อที่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตตามมาด้วย มองว่าจะสนับสนุนความต้องการการใช้ยางแท่งในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น
โดยคาดการณ์แนวโน้มปริมาณขายยางแท่งในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 200,000 ตัน โดย 9 เดือนแรกทำได้แล้ว 150,000 ตัน แบ่งเป็นสัดส่วนขายภายในประเทศ 52% และส่งออก 48%
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับมาตรการ EUDR แล้ว โดยปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าเข้ามาให้ความสนใจยางแท่งเกรด EUDR ของบริษัท และคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อในปีหน้า โดยเฉพาะจากลูกค้าฝั่งยุโรป ทั้งนี้กลุ่มสินค้าเกรดดังกล่าวจะมีราคาที่ดีกว่าราคาขายยางแท่งเกรดพรีเมียมปกติ
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 เตรียมขยายกำลังการผลิตยางแท่งเพิ่มอีก 70,000 ตัน ส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 390,000 ตัน ซึ่งแผนขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นสอดรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ
“การขยายกำลังการผลิตยางแท่งจะทำให้เกิด Economy of Scale ต้นทุนการผลิตจะลดลง โดยเฉพาะต้นทุนค่าแรงต่อหน่วย นอกจากนั้น เรายังมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นการลดต้นทุนไฟฟ้าและมุ่งสู่การเป็น Carbon Neutral ซึ่งบริษัทได้ติดตั้ง solar roof เสร็จสิ้นไปแล้ว 1 เมกะวัตต์ มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 1.25 เมกะวัตต์ในปี 2567 และยังคงเน้นการใช้ก๊าซชีวภาพทดแทน LPG ในอัตราส่วนที่มากกว่า 90%”
ในส่วนของธุรกิจผลิตและจําหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ภายหลังจากปรับปรุงเครื่องจักร เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผลประกอบการเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ ส่งผลดีต่อปริมาณและคุณภาพสินค้า โดยมีอัตราการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (%OER) ดีขึ้น อยู่ในช่วง 18-19% และสามารถเพิ่มสัดส่วนน้ำมันปาล์มดิบเกรดดี (เกรดต่ำ) ได้ สำหรับโครงการติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) เพิ่มเติมเป็นไปตามแผน ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้อีก 30 ตันปาล์มทะลายสด/ชั่วโมง คาดว่าจะเริ่มทดสอบระบบได้ช่วงไตรมาส 1/2567 จะทำให้สามารถรับปาล์มทะลายสดได้เพิ่มขึ้นในช่วงพีกของปาล์ม และไม่ต้องหยุดการผลิตในกรณีที่หม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ตัวใดตัวหนึ่งมีปัญหา
“เรายังคงมุ่งเน้นบริหารจัดการด้านต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการขยายธุรกิจผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์มากขึ้น เป็นการสร้างฐานรายได้ประจำที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) ซึ่งโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพดำเนินไปตามแผน คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีหน้า และการขยายในเฟสถัดไปจะเริ่มในต้นปี 2567 เพื่อรองรับโครงการซื้อขายก๊าซชีวภาพกับลูกค้าภายนอกกลุ่ม ที่คาดว่าจะเริ่มซื้อขายก๊าซชีวภาพได้ในปลายปี 2567” น.ส.สินีนุช กล่าว