นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า ธนาคารคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่ระดับ 3-4% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ไม่สูงนัก โดยมองว่าทิศทางเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงสูง ทั้งยุโรปและจีนยังมีปัญหา ขณะที่ภาวะสงครามยังน่าเป็นห่วง จึงยังเป็นปัจจัยกดดันจีดีพีของไทยอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ปีหน้าอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องเน้นในเรื่องของการเติบโตของเศรษฐกิจมากนัก ควรดูแลปัจจัยภายประเทศให้พร้อมกับการรุกเมื่อโอกาสเอื้ออำนวยกว่านี้ ซึ่งปี 2568 น่าจะเป็นปีสามารถเหยียบคันเร่งได้เต็มที่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า มองว่าน่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางต่างประเทศจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเริ่มขับเคลื่อนได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะยังคงในระดับเดิม เนื่องจากประเด็นหลักในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นการปรับไปสู่ระดับปกติ รวมถึงจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากกระเป๋าเงินดิจิทัลออกมาจาก ธปท.จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าเงินบาทที่ค่อนข้างผันผวนในช่วงที่ผ่านมาน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มกระเตื้องขึ้น
**คาดกู้เงินกระเป๋าดิจิทัลไม่กระทบอันดับเครดิตประเทศ**
ส่วนกรณีของมาตรการกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลที่จะมีการออกเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินในวงเงินกว่า 500,000 ล้านบาทนั้น นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ถือเป็นการแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และมีผู้ตรวจสอบ เนื่องจากเป็นการกู้และใช้เงินเป็นจำนวนมากถึงเกือบ 6 แสนล้านบาท ดังนั้น เรื่องการโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ทั้งในส่วนของเงินทุนและการใช้เงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
"ผมว่าการออก พ.ร.บ.เงินกู้ถือว่ามาถูกทางแล้ว จากเดิมที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะนำเงินมาจากไหนกู้จากธนาคาร หรืออื่นๆ ซึ่งเมื่อมี พ.ร.บ.จะมีความชัดเจนขึ้น คำถามคือทำเสร็จจะเกิดอะไรต่อไปนั้น ผมว่ากว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างคงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งในส่วนของประมาณการจีดีพีเราได้รวมส่วนของกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ไปแล้ว โดยเมื่อมาบวกลบกับเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยง เศรษฐกิจยุโรป จีนยังไม่ดี และปัญหาสงครามแล้ว ตัวเลขจะประมาณนี้ 3-4% ขณะที่การกู้เงินดังกล่าวแม้ว่าจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงระดับลดอันดับเตรดิตของประเทศ"
**นัดถกคลังหารือกองทุน SSF 14 พ.ย.นี้**
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า FETCO จะเข้าหารือกับกระทรวงดารคลังเกี่ยวกับกองทุนเพื่อการออม (SSF) ที่จะหมดอายุในปี 2567 ในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย.) โดยเป้าหมายหลักในการหารือครั้งนี้ คือ ความคืบหน้ากองทุน SSF ที่ครบอายุว่าจะมีการต่ออายุกองทุนหรือไม่อย่างไร หากมีการต่ออายุกองทุนอยากให้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขลงทุนให้เหมือนกับกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) คือ เน้นลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก รวมถึงระยะเวลาการลงทุนให้น้อยกว่า 10 ปี เชื่อว่ากองประหยัดภาษีภายใต้การปรับเงื่อนไขการลงทุนดังกล่าว จะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้ ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ มองว่าเป็นจังหวะ "ถือ" และ."ทยอยซื้อ" หุ้นไทยในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีการจ่ายเงินปันผลดีจากทิศทางดอกเบี้ยไทยยังเป็นขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับแผนงานของธนาคารกรุงเทพในปีหน้านั้น ธนาคารยังคงเน้นในส่วนของธุรกิจรายใหญ่ และธุรกิจต่างประเทศ โดยในส่วนของธุรกิจขนาดใหญ่นั้นน่าจะมีการขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะการลงทุนหรือซื้อกิจการต่างๆ หลังธุรกิจในประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ธุรกิจต่างประเทศของธนาคารยังคงขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะภายหลังการซื้อธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซีย