xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) ทองคำมีลุ้น New High ศก.ฝืด-สงครามยื้อดันราคาพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับตาทิศทางราคาทองคำมีโอกาสสร้างสถิติใหม่ 2,080 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังสงครามอิสราเอล-ฮามาสดันราคาพุ่งกว่า 165 ดอลลาร์ ขณะที่การบริหารเงินของเฟดจะคอยสร้างแรงเทขายทำกำไรเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดเป็นช่วง พ.ค.ปีหน้า ขณะภาพรวมแบงก์ชาติจีนนำทีมธนาคารกลางสะสมทองคำเพิ่มทุนสำรองไม่หยุด กลายเป็นแรงกระตุ้นราคาขยับเพิ่มต่อเนื่อง

บรรยากาศเช่นนี้ต้องยอมรับว่า “ทองคำ” ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ลำดับต้นๆ ที่นักลงทุนหันมาให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญความเสี่ยงมากมายในปัจจุบัน โดยเฉพาะสงครามระหว่างอิสราเอล กับกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้

ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำในช่วงนี้ หนีไม่พ้นผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ครั้งล่าสุด (1พ.ย.) โดยเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 5.4% ถือเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันที่เฟดไม่ปรับเพิ่มดอกเบี้ย แต่ยังคงเปิดโอกาสสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งถัดไป หากเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

อ้างคงดอกเบี้ยสูงหลัง ศก.สหรัฐฯ ขยายตัว

ทั้งนี้ เฟดยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ 5.4% ถือเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 22 ปี เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ โดยปีนี้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแค่ครั้งเดียวในเดือนพฤษภาคม พร้อมให้ข้อมูลการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงว่า นั่นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 3 ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน และการจ้างงานยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคตหากเห็นว่ามีความจำเป็น

พร้อมกันนี้ เฟดมองว่าความปั่นป่วนในตลาดการเงินสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรกระทรวงการคลังอายุ 10 ปีแตะระดับสูงที่สุดในรอบ 16 ปี นั่นทำให้อัตราเงินกู้ทั้งระบบเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งช่วยตอบสนองเป้าหมายของเฟดในการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง รวมถึงลดแรงกดดันเกี่ยวกับเงินเฟ้อ

ส่งสัญญาณยุติอีกครั้ง

อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ “เจอโรม พาวเวล” ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดใกล้จะสิ้นสุดการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงแล้ว แต่ตั้งข้อสังเกตว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นช่วยลดอัตราเงินเฟ้อได้โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทั้งยังเน้นถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้างที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยบรรเทาอัตราเงินเฟ้อได้อีกทางหนึ่งด้วย

ดังนั้น แม้จะมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความคงที่ของอัตราเงินเฟ้อในข้อมูลล่าสุด แต่ยังมีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะลดลง นั่นทำให้การประกาศไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ผลักดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง เนื่องจากนักลงทุนตีความว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็นการส่งท้าย ก่อนที่การลดอัตราดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในปีหน้า

คาดดอกเบี้ยสหรัฐฯ เริ่มลด พ.ค.ปีหน้า

โดยนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จากนั้นเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน พ.ค.2567 เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.2567

นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือน ม.ค.และเดือน มี.ค.ของปีหน้า ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือน พ.ค.

ดีมานด์ทองคำแข็งแกร่งต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน มีรายงานสภาทองคำโลก (World Gold Council) ว่า ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทองคำได้รับแรงหนุนต่อเนื่องมาจากการซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางที่ยังคงสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ดีมานด์รายไตรมาส (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) พุ่งแตะ 1,147 ตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปีถึง 8%

โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา การซื้อทองคำของธนาคารกลางต่างๆ นับว่าแข็งแกร่งที่สุดและคาดว่าการแห่ซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางจะยังไม่แผ่วไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งจะช่วยสะท้อนให้เห็นว่ายอดรวมการซื้อทองคำรายปีจะแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งในปีนี้ ท่ามกลางกระแสอัตราดอกเบี้ยที่สูงและการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ

จีน-รัสเซียไล่เก็บทองคำไม่หยุด

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ช่วยยืนยันว่ารายงานของ “สภาทองคำโลก” มีน้ำหนักนั่นคือ ข่าวการเข้าสะสมทองคำของบรรดาธนาคารกลางต่างๆ เริ่มที่ธนาคารกลางของสิงคโปร์ มีรายงานว่า ปัจจุบันเป็นผู้ซื้อทองคำมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ รองจากธนาคารกลางจีนที่ซื้อมากที่สุด ตามด้วยธนาคารกลางโปแลนด์

จากข้อมูลพบว่า ช่วงไตรมาส 3 ธนาคารกลางของสิงคโปร์ได้ซื้อทองคำ 4 ตันในตลาด ทำให้ยอดซื้อทองคำทั้งหมดในปีนี้รวมทั้งสิ้น 75 ตัน ส่วนธนาคารประชาชนจีน (แบงก์ชาติจีน) เป็นผู้ซื้อทองคำมากที่สุดในไตรมาส 3 ที่ 78 ตัน ทำให้นับตั้งแต่ต้นปีถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 181 ตัน รวมถือครองสะสมเป็น 2,192 ตัน

สำหรับธนาคารแห่งชาติโปแลนด์ยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 57 ตัน ทำให้มีทองคำสะสมเพิ่มขึ้นในปีนี้ 105 ตัน ขณะที่รัสเซียถือเป็นอีกชาติที่สะสมทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันรัสเซียมีปริมาณขนาดทองคำสำรองแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,360 ตัน เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 44 ตัน หรือ 2% ครองตำแหน่งอันดับ 5 ของโลกในด้านปริมาณทองคำสำรอง

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า  ธนาคารกลางต่างๆ ยังคงให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่ทองคำสามารถนำมาสู่ทุนสำรองของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายความเสี่ยงการป้องความเสี่ยงขาลง และสภาพคล่อง นั่นเพราะทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ช่วยทำให้เกิดความหลากหลายของทุนสำรองของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ซึ่งรับผิดชอบสกุลเงินหลักของประเทศที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าได้ 




ทองคำมีลุ้น 2,080 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม “พีระพงศ์ วิริยะนุเคราะห์” นักวิจัยอาวุโส แผนก Ausiris Intelligence บริษัท ออสสิริส จำกัด ได้ประเมินทิศทางราคาทองคำในช่วงเดือน พ.ย.ว่า จากสถานการณ์การคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงของเฟด และสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส อาจทำให้ราคาทองคำทะลุ 2,010 ดอลลาร์ และอาจทำจุดสูงสุดอีกครั้งที่ระดับ 2,080 ดอลลาร์ หากสัญญาณสงครามขยายวงกว้าง แต่ถ้าหากสงครามคลายความตึงเครียดลง ราคาทองคำอาจเผชิญแรงเทขายทำกำไรออกมาจำนวนมาก เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นจากสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย และระหว่างประเทศอื่นๆ ในอดีต

หลังเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน และทำ New High สูงสุดในรอบ 5 เดือนครึ่งที่ระดับ 2,009 ดอลลาร์ (อ้างอิง ณ วันที่ 27 กันยายน) บวกเพิ่มขึ้น 8.7% ที่ระดับ 2,005 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นเดือน ก.ย.ที่ระดับ 1,848 ดอลลาร์

โดยได้รับแรงหนุนหลักจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาพุ่งขึ้นราว 165 ดอลลาร์ แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 11 เดือน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 17 ปี จากการที่นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยหลังประธานเฟดยังส่งสัญญาณการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเมื่ออัตราเงินเฟ้อยังไม่ปรับลดลงตามที่คาดหวังไว้ โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 2% ทำให้คาดการณ์ว่า เฟดอาจมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ 1 ครั้ง ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงนานขึ้น

ส่วนราคาทองในประเทศที่ปรับตัวพุ่งขึ้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยราคาทองคำแท่ง 96.5% ราคาขายออกสูงสุดบาทละ 34,250 บาท สำหรับราคาทองรูปพรรณขายออกสูงสุดบาทละ 34,750 บาท โดยปรับตัวขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับราคาขายออกสูงสุดของเดือนก่อน

สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองในเดือน พ.ย. นั่นคือ การที่เฟดอาจจะเปลี่ยนมุมมองที่จะขึ้นดอกเบี้ยสูงขึ้น เพื่อลดเงินเฟ้อที่ไม่มีท่าทีจะลดลงซึ่งเป็นผลลบต่อราคาทองคำ ต่อมาคือในประเด็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (6 พ.ย.) จะสะท้อนความแข็งแกร่งด้านตลาดแรงงาน หากตัวเลขแรงงานออกมาดี อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ แต่หากออกมาแย่อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดอาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core Consumer Price Index (CPI)) ที่จะประกาศในวันที่ 14 พ.ย. โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ประจำเดือน ก.ย. ยังทรงตัวที่ระดับ 3.7% ทำให้ภาพรวมเงินเฟ้อในปัจจุบันยังห่างจากของเป้าของเฟดอยู่ที่ระดับ 2% จึงต้องติดตามว่าตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือน ต.ค.จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ซึ่งประเมินว่าน่าจะยังเคลื่อนไหวเหนือระดับ 3.5% ถือเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หรือคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

ส่วนในช่วงปลายเดือน วันที่ 22 พ.ย. จะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) อีกครั้งที่จะพูดถึงทิศทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มการดำเนินนโยบายทางการเงินในอนาคต โดยหากมีการส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือยุติการขึ้นดอกเบี้ยทองจะได้รับปัจจัยบวกทันที แต่หากส่งสัญญาณความจำเป็นสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานขึ้น ทองจะได้ปัจจัยลบจากปัจจัยดังกล่าวทันที

นอกจากนี้ ในวันที่ 30 พ.ย. ให้จับตาดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลสหรัฐฯ ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ประจำเดือน พ.ย. โดยออสสิริสประเมินว่า ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคน่าจะยังสะท้อนภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่น่าจะยังทรงตัวในระดับสูงอยู่ หากเป็นไปตามคาดการณ์จะเพิ่มโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง หรืออาจคงดอกดอกเบี้ยในระดับสูงได้นานขึ้น ถือเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

จับตา "ทองคำ" ขาขึ้นรอบใหญ่

“พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ส่งผลให้ทิศทางราคาทองคำเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้เริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมา จากการรับรู้ข่าวเหตุไม่สงบของอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ได้กระตุ้นให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปแล้วประมาณ 8-10% นับจากวันที่มีเหตุปะทะ

อย่างไรก็ดี แม้ประธานเฟดจะกล่าวว่านโยบายดอกเบี้ยยังต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดเงินเฟ้อให้เหลือ 2% แต่วงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดรอบนี้ดำเนินมาไกลมาก และใกล้จะสิ้นสุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ทำให้มองว่า ระยะสั้นจะทำให้ทองคำอาจจะแกว่งตัวจากการขายทำกำไรจากราคาที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ระยะยาว 2-3 เดือน เมื่อดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลงทองคำจะปรับขึ้นรอบใหญ่

ขณะเดียวกัน แม้ว่าระยะสั้นทองคำจะยังไม่ได้รับปัจจัยบวกอย่างเต็มที่จากประเด็นดอกเบี้ย แต่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับการลงทุนทั่วโลก โดย ล่าสุด ธนาคารกลางทั่วโลกรายงานการเข้าซื้อทองคำในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำสูงถึง 800 ตัน เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีธนาคารกลางจีนเป็นผู้นำในการซื้อทองคำในช่วง 9 เดือนแรกของปี ในขณะที่ประเทศต่างๆ พยายามป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อด้วยการเข้าสะสมทองคำและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ 

ปัจจัยนี้ส่งผลช่วยให้ราคาทองคำสามารถต้านทานอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ทั้งนี้ YLG มองว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นนั้นจะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรมากขึ้น และเมื่อแรงซื้อเพิ่มมากขึ้นนั้นจะกดดันให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรของตราสารปรับตัวลง ด้วยทิศทางเช่นนี้จึงนับเป็นการเพิ่มแรงหนุนต่อราคาทองคำด้วย

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำในช่วงนี้ แนะนำระยะสั้น ซื้อขายในกรอบแนวรับ 1,953-1,971 ดอลลาร์ แนวต้าน 2,003-2,021 ดอลลาร์ ขณะที่ทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ซื้อขายในกรอบแนวรับ 33,300-33,600 บาททองคำ แนวต้าน 34,200-34,500 บาท


กำลังโหลดความคิดเห็น