หุ้นไทยปิดตลาดร่วง -14.02 จุด นักวิเคราะห์เผยนักลงทุนหุ้นไทยกังวลตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน เดือน ต.ค.ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้เป็นปัจจัยกดดันต่อภาพรวมของเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัว และกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค อีกทั้งยังอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ทำให้เป็นแรงฉุดหุ้นใหญ่กลุ่มพลังงานต้นน้ำที่ฉุดดัชนีในวันนี้ลงด้วย ประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้คาดว่าแกว่งตัวไซด์เวย์ ประเมินกรอบการลงทุนแนวต้านที่ 1,400 จุด และแนวรับที่ 1,370 จุด แนะติดตามตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนต.ค.ของสหรัฐ รวมถึงจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงปลายสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 31 ต.ค. 2566 ปรับตัวลดลง -14.02 จุด หรือ -1.00% โดยปิดตลาดที่ 1,381.83 จุด มูลค่าซื้อขาย 37,497.85 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายหุ้นในวันนี้ดัชนีปรับตัวลงและเคลื่อนไหวแดนลบตลอดทั้งวันตั้งแต่เปิดทำการซื้อขายภาคเช้า ซึ่งระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,395.79 จุด ในทิศทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,374.66 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 151 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 140 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 361 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า -2,334.49 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +1,656.49 ล้านบาท บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +186.73 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า +491.28 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,985.15 ล้านบาท ปิดที่ 164.00 บาท ลดลง 5.00 บาท
2.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,635.90 ล้านบาท ปิดที่ 220.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
3.SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,287.80 ล้านบาท ปิดที่ 98.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
4.TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,147.64 ล้านบาท ปิดที่ 6.05 บาท ลดลง 0.50 บาท
5.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,137.53 ล้านบาท ปิดที่ 131.50 บาท ลดลง 1.00 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.EGCO ปิดที่ 122.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาทหรือ 0.83%
2. ADVANC ปิดที่ 220.00บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาทหรือ 0.46%
3.BH ปิดที่ 260.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00บาทหรือ 0.39%
4.TIPH ปิดที่ 34.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75บาทหรือ 2.26%
5.CBG ปิดที่ 67.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาทหรือ 1.12%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.PTTEP ปิดที่164.00 บาท ลดลง 5.00 บาทหรือ 2.96%
2. SCC ปิดที่288.00บาท ลดลง 3.00 บาทหรือ 1.03%
3. KCE ปิดที่ 50.75บาท ลดลง 2.25 บาทหรือ 4.25%
4. HANA ปิดที่ 52.25บาท ลดลง 2.25 บาทหรือ 4.13%
5.DELTA ปิดที่ 79.00บาท ลดลง 2.25 บาทหรือ 2.77%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,895.93 จุด ลดลง -21.31 จุด หรือ -1.11% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 856.53 จุด ลดลง -9.25 จุด หรือ -1.07% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 392.56 จุด ลดลง -3.74 จุด หรือ -0.94%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย หลังตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจนเดือน ต.ค.ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้เป็นปัจจัยกดดันต่อภาพรวมของเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัว และกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค และส่งผลต่อราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ทำให้เป็นแรงฉุดหุ้นใหญ่กลุ่มพลังงานต้นน้ำที่ฉุดดัชนีในวันนี้
ขณะเดียวกันยังมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาในกลุ่มแบงก์ รวมถึงหุ้น TRUE ที่มีปัจจัยกดดันเฉพาะตัว ส่งผลกดดันต่อดัชนี ส่วนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายดอกเบี้ย ซึ่งไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
"แนวโน้มพรุ่งนี้คาดว่าแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามยังคงเป็นสถานการณ์ในอิสราเอลจะมีความคืบหน้าอย่างไร และในคืนวันพรุ่งนี้จะมีการรายงานตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน ต.ค.ของสหรัฐ รวมถึงจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยให้แนวต้าน 1,400 จุด แนวรับ 1,370 จุด" นายชัยพร กล่าวทิ้งท้าย