โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์ไร้ปัจจัยใหม่ นักลงทุนรอประชุมเฟด และตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ โดยในระยะสั้นทดสอบระดับ 1,400 +-จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมอง Upside ของดัชนีระยะสั้นจะยังไม่กว้าง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ โดยที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาส่งผลกับตลาด หลังจากสถานการณ์ในอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสยังไม่มีประเด็นคืบหน้าใหม่ๆ ออกมา และตลาดยังรอติดตามปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ
ขณะที่ในวันนี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับดอกเบี้ยอย่างไร ประกอบกับยังมีการรายงานตัวเลขดัชนี PMI ฝ่ายจัดซื้อของจีนออกมา โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ที่เปิดมาแกว่งตัวบวกและลบสลับกัน พร้อมให้แนวต้าน 1,405-1,410 จุด แนวรับ 1,385-1,390 จุด
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด SET Index ยังมีแนวโน้มแกว่ง Sideways to Sideways Up ต่อเนื่องในระยะสั้นทดสอบระดับ 1,400 +-จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมอง Upside ของดัชนีระยะสั้นจะยังไม่กว้าง
ตลาดยังรอติดตามปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ทั้งการประชุมเฟด BOJ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่าง GDP ไตรมาส 3/66 ของยูโรโซน รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) 10 ปี ขยับขึ้นมาที่ 4.9% หลัง US Treasury Department ประกาศว่า จะออกพันธบัตร 776 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ 816 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 4/66-ไตรมาส 1/67 แม้จะลดลงจากไตรมาส 3/66 แต่ยังถือเป็นระดับที่สูง
ส่วนปัจจัยในประเทศ นโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทมีแนวโน้มล่าช้าไปถึงเดือนกันยายน 2567 และใช้เงินน้อยกว่า 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ประมาณการ GDP ปี 67 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 4.4% มีแนวโน้มต้องปรับลง ขณะที่โฟกัสระยะสั้นยังอยู่ที่ประกาศกำไรไตรมาส 3/66 ของ บจ.โดยต้องติดตามว่าจะออกมาดี/แย่กว่าคาดอย่างไร และกระทบต่อประมาณการ EPS ปี 66-67 ของตลาดมากน้อยเพียงใด ซึ่งเราเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลง อย่างไรก็ตาม ด้าน Valuation ของ SET ปัจจุบันเรามองว่าไม่สูงทำให้ระดับต่ำกว่า 1,400 จุดเริ่มมี Downside ที่จำกัด โดยหาก PER ถูกปรับลงสู่กรอบ PER 13.2-13.6 เท่าจะเทียบเท่า Index ราว 1,320-1,360 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว