เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิด ESG เพื่อความยั่งยืน ผ่านโมเดลการขนส่งและให้บริการ รวมถึงการบริหารจัดการรูปแบบต่างๆ ทั้งการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ การบริหารรถบรรทุกสินค้าเที่ยวไปและกลับเพื่อลดการวิ่งรถเที่ยวเปล่า เพิ่มปริมาณการใช้รถขนส่งพลังงานทางเลือก ติดตั้งโซลาร์เซลล์และใช้เทคโนโลยีจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติในคลังสินค้า เพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัปพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล เพื่อความยั่งยืน เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต่างๆ ให้ความสำคัญและต้องการทำธุรกิจกับผู้ประกอบการที่มุ่งเน้น ESG เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดย SJWD มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับนโยบายด้าน ESG ของเอสซีจี ในฐานะบริษัทแม่ที่ได้จัดงาน ESG SYMPOSIUM 2023 Acceleration Changes towards Low Carbon Society ร่วม เร่ง เปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยแนวทางที่เราจะไม่หยุดพัฒนาและนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสร้างสรรค์บริการที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกใช้พลังงานทางเลือกอย่างผสมผสาน พร้อมการจัดการพลังงานผ่านโครงการต่างๆ และออกแบบศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้รถขนส่งพลังงานทางเลือกทดแทนรถขนส่งที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง การใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในคลังสินค้า และการใช้ข้อมูล Big Data เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง รวมถึงการพัฒนาโซลูชันด้านโลจิสติกส์และซัปพลายเชนอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็น Green logistics solution อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสามารถช่วยตอบสนองนโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของลูกค้าได้อีกด้วย
ในส่วนของ SJWD ได้มีการดำเนินโครงการด้าน ESG เพื่อดูแลสังคมและบรรษัทภิบาล โดยเห็นถึงความสำคัญของการลดอุบัติเหตุเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ในปี 2554 จึงจัดตั้ง “โรงเรียนทักษะพิพัฒน์” ที่จังหวัดสระบุรี เพื่อพัฒนาทักษะด้านการขับขี่ เช่น หลักสูตรขับขี่รถบรรทุก รถโฟล์คลิฟท์ เป็นต้น โดยมีผู้ที่ผ่านการฝึกอบหลักสูตรต่างๆ ไปแล้วกว่า 140,000 ราย และในช่วงที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ได้จัดทำหลักสูตรฝึกอบรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ผู้ว่างงานที่ต้องการมีอาชีพ เพื่อลดอัตราการว่างงานจากผลกระทบของโรคระบาดและช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยปี 2565 มีผู้เข้าอบรมกว่า 200 คน และได้วางเป้าหมายรับผู้อบรมเพิ่มปีละ 100 คน
SJWD ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดโครงการสอนการขับการขับขี่เพื่อเพิ่มทักษะรองรับการสร้างอาชีพแก่บุคลากร เช่น โครงการฝึกอาชีพแก่ทหารกองประจำการ สาขาวิชาขับรถบรรทุก โดยเป็นโครงการความร่วมมือกับกองทัพเรือ ตั้งแต่ปี 2556 รวมเป็นระยะเวลา 10 ปี มีผู้รับการฝึกอบรมแล้วกว่า 1,200 ราย และปี 2566 วางเป้าหมายฝึกอบรม 100 ราย โครงการหลักสูตรขับรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินและรถพยาบาลเพื่อลดความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุ โดยนับจากปี 2557-2565 มีผู้รับการอบรมแล้วกว่า 6,300 ราย และปี 2566 วางเป้าหมายอบรม 200 ราย
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า SJWD ได้ดำเนินโครงการด้าน ESG เพื่อความยั่งยืนซึ่งช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโมเดลการขนส่งและให้บริการรวมถึงการบริหารจัดการรูปแบบต่างๆ ได้แก่ (1) Multi ModalTransportation หรือการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานการขนส่งทางรถ รางและเรือเข้าด้วยกัน จึงสามารถช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการขนส่งสินค้าภายในประเทศ หรือนำเข้า-ส่งออกสินค้า ด้วยการบริหารต้นทุนขนส่งที่สามารถแข่งขันได้ (2) Backhaul Matching หรือการบริหารรอบรถบรรทุกสินค้าเที่ยวไปและกลับ โดย SJWD ได้นำเทคโนโลยีไอทีเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการบริหารจัดการ Fleet Optimization ในงานขนส่งแต่ละภูมิภาค เพื่อใช้เชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่าและลดการวิ่งเที่ยวเปล่าหรือรถเบาให้ได้มากที่สุด (3) การใช้รถขนส่งเชื้อเพลิงทางเลือก
ปัจจุบันได้นำรถขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเข้ามาให้บริการทดแทนรถขนส่งที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว 332 คัน ประกอบด้วย รถขนส่งที่ใช้เพลิง NGV 322 คัน และรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า 10 คัน รวมถึงนำรถยกพลังงานไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมันดีเซลเข้ามาใช้ยกขนสินค้าอีก 21 คัน (4) การใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยได้ติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป ที่อาคารคลังสินค้า โดยนับจากปี 2563 ถึงเดือนกันยายน 2566 สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้กว่า 23,367,079 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ลดค่าไฟฟ้าได้กว่า 94 ล้านบาท และ (5) การใช้เทคโนโลยีจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) โดยนำมาใช้กับคลังสินค้าห้องเย็นตั้งแต่ปี 2562 และขยายไปยังคลังสินค้าจัดเก็บเอกสาร สามารถทดแทนการใช้รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 40 คัน และช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ลดอุบัติเหตุ เพิ่มความรวดเร็วแม่นยำในการค้นหาสินค้า
นายบรรณ กล่าวสรุปตอนท้ายว่า “ขณะนี้หลายประเทศกำลังเผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน สาเหตุหลักมาจากการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนเกิดภัยธรรมชาติ SJWD ยินดีร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาคธุรกิจที่จะช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง มุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาดและยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับสังคมและชุมชน ด้วยนโนบายการลดอุบัติเหตุจากการขับขี่บนท้องถนน เพื่อลดความสูญเสียและร่วมดูแลสังคมผ่านการจัดฝึกอบรมการขับขี่หลักสูตรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะนำไปใช้ต่อยอดสร้างอาชีพและสร้างรายได้”