xs
xsm
sm
md
lg

AMARC ชี้ภาคธุรกิจเกษตร-อาหารฟื้น งานรัฐคึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเชีย" เผยแนวโน้มธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง การเติบโตของภาคเอกชนทั้งบริการตรวจวิเคราะห์และบริการสอบเทียบ มีทิศทางสดใส จากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ส่งผลให้ภาคธุรกิจเกษตร-อาหารฟื้นตัว งานภาครัฐเริ่มกลับมา เดินหน้าเปิดศูนย์บริการตามหัวเมืองต่างจังหวัด ผนึกพันธมิตรตั้ง 2 บริษัทย่อยหนุนธุรกิจหลักของบริษัท

นายศักดา ฉันทนาวานิช ผู้อำนวยการสายบริหาร บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ AMARC (เอมาร์ค) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่ามีทิศทางการเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยภาพรวมการเติบโตของภาคเอกชน ทั้งบริการตรวจวิเคราะห์และบริการสอบเทียบ ขณะนี้เริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ส่งผลให้ภาคธุรกิจเกษตรและอาหารกลับมาเติบโต ถือเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตของบริษัท โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ลูกค้าหลักของ AMARC เป็นภาคเอกชน 93% ภาครัฐ 7% คาดว่างบประมาณใหม่การใช้จ่ายภาครัฐจะกลับมาเป็นปกติ เป็นปัจจัยบวกให้กลุ่มลูกค้าภาครัฐกลับมาใช้บริการ ซึ่งในช่วงไตรมาส 3/66 งานภาครัฐเริ่มกลับเข้ามาแล้ว เห็นได้จากเริ่มมีการเซ็นสัญญาและประมูลงาน

บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมอุตสาหกรรมจะยังขยายตัวได้อีกมาก โดยจะนำจุดเด่นของ AMARC ที่โดดเด่นในด้านความมั่นคงและชื่อเสียงจากการเป็นผู้ให้บริการทางวิทยาศาสตร์มายาวนานกว่า 19 ปี มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนให้สินค้าเกษตรและอาหารของประเทศไทยได้รับการควบคุมคุณภาพ เพื่อร่วมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับแนวโน้มในปี 2566 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด แต่มีปัจจัยลบจากสภาวะเงินเฟ้อและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน คาดการณ์ส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร เปลี่ยนเป้าหมายไปยังประเทศที่มีเงื่อนไขมาตรฐานด้านการผลิต การเพาะปลูก และความยั่งยืนที่สูงขึ้น เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลดีต่อ AMARC นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบและค่าแรงจะส่งผลให้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ทดแทนมากขึ้น

โดย AMARC วางกลยุทธ์การเติบโตมุ่งสู่การให้บริการแบบครบวงจร จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ สำหรับอุตสาหกรรมเกษตร อาหารและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเติบโตหลักๆ มาจาก 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.Organic Growth โดยการขยายขอบข่าย ขยายกำลังการให้บริการรองรับนวัตกรรม ความยั่งยืน และการเติบโตของผู้ประกอบการ เทรนด์ที่เห็นคือ การเติบโตของ Function Food เช่น สารทดแทนน้ำตาล สารทดแทนไขมัน พรีไบโอติก โพรไบโอติก และวิตามินต่างๆ การปนเปื้อน ยาปฏิชีวนะ สารเคมีกำจัดศัตรูพืช สารพิษจากเชื้อรา และสารก่อมะเร็ง บริษัทจะเฝ้าระวังกฎหมายจากต่างประเทศเป็นหลัก 

ซึ่งภายหลังการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้เงินระดมทุนจำนวน 332 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนจัดซื้อเครื่องมือวิทยาศาสตร์จากงบที่ตั้งไว้ 96 ล้านบาท ขณะนี้จัดซื้อเสร็จสิ้นใช้ไป 30 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยลงทุนซื้อเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในปี 2565-2568 เพื่อขยายกำลังการให้บริการกลุ่มงานตรวจวิเคราะห์ด้านเกษตรและอาหาร ชำระหนี้ จำนวน 75 ล้านบาท ช่วยลดต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 1.2 ล้านบาทต่อปี และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 161 ล้านบาท ใช้ไป 93 ล้านบาท โดยชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้น 30 ล้านบาท ลดต้นทุนการเงินเฉลี่ย 0.7 ล้านบาทต่อปี ลงทุนปรับปรุงพื้นที่ 12 ล้านบาท ขยายสาขาภูมิภาค 2 ล้านบาท และเพิ่มนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญ โดยขยายทีมงานจาก 116 คน ในปี 2564 เป็น 160 คน ในปี 2566 เราเน้นการลงทุนเพื่ออนาคต Economy of Scale เพื่อตอบโจทย์ความต้องของลูกค้า โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย คาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น

2.Growth Factor สำคัญที่ AMARC มุ่งหวัง คือ การขยายตลาดไปในระดับภูมิภาคอย่างชัดเจนมากขึ้น จากเดิม AMARC จะมีรายได้ 90% มาจากพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล บริษัทเล็งเห็นโอกาสในตลาดภูมิภาคซึ่งมีการแข่งขันน้อยกว่า จึงได้เปิดศูนย์ประสานงานและรับตัวอย่างสาขาแรกที่มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2565 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดศูนย์ประสานงานและรับตัวอย่างที่ จ.ลำพูน เป็นแห่งที่ 2 ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับการให้บริการในตลาดภาคเหนือ ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับภาคใต้อยู่ในแผนการลงทุน คาดว่าจะสามารถเปิดในปี 2567 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี 2568

3.เร่งการเติบโตของกลุ่มงาน Inspection & Certification Joint Venture แผนการพัฒนาขอบข่ายการให้บริการตรวจรับรองด้านสิ่งแวดล้อม โดยมองว่าปัจจุบันในประเทศไทย เทรนด์ ESG สำคัญมาก บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีการเปิดข้อมูลด้าน ESG มีการจัดการเรื่องคาร์บอนฟุตพรินต์ บุคลากรต่างๆ ของสาขานี้ภายในประเทศไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงได้จัดตั้งกิจการร่วมค้า ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภายใต้ "บริษัท วีกรีน เคยู จำกัด" เริ่มให้บริการเดือนตุลาคม 2566 นี้ เพื่อให้บริการที่ปรึกษาและทวนสอบ (Consultation & Verification) ในเรื่องของคาร์บอนฟุตพรินต์ให้องค์กร ผลิตภัณฑ์ อีเวนต์ และคาร์บอนเครดิต การผลิตพลังงานหมุนเวียน โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ฉลากสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ยังมีการขยายการให้บริการตรวจรับรองด้านความยั่งยืน และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยจัดตั้งบริษัทย่อย ซึ่งร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ภายใต้ชื่อบริษัท เอมาร์ค โกลบอล เวริฟิเคชั่น จำกัด เพื่อสนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัท มีเป้าหมายเริ่มให้บริการในปี 2567 โดยจะให้บริการที่ปรึกษาและตรวจรับรอง (Consultation, Inspection & Certification) บริการตรวจรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน บริการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม บริการที่ปรึกษาและบริการอบรม

"AMARC ตั้งเป้าการเติบโตสู่ระดับสากล มุ่งมั่นขยายกำลังการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อก้าวสู่การเป็นแล็บชั้นนำระดับสากลรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงนำภาคเกษตร และอาหารของไทยไปสู่ระดับโลก ไม่ให้แพ้ใคร โดยแผนการขยายธุรกิจในครั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด และมีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น" นายศักดา กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น