น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงเป้าหมายทางการเงินของธนาคารในปีนี้ไว้ในระดับเดิม โดยตั้งเป้าหมายสินเชื่อรวมเติบโตที่ระดับ 5-7% เชื่อว่าสิ้นปีจะเป็นไปตามที่มองไว้ จากแนวโน้มเศรษฐกิจปัจจุบันที่ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองไว้ที่ระดับ 3% ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีแนวโน้มลดลง โดยปีนี้จะยังคงเป้าหมายต่ำกว่า 3.25% จากไตรมาส 2/2566 ที่อยู่ในระดับ 3.20% ขณะที่ Credit Cost ปีนี้อาจสูงกว่าเป้าหมายที่คาดไว้เดิม 1.75-2.00% (175-200 bps) โดยอาจสูงมาอยู่ที่ 2.10% (210 bps) เนื่องจากความไม่แน่นอนทั้งภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก
พร้อมกันนี้ ธนาคารยังคงแผนเดินหน้าขยายธุรกิจไปต่างประเทศต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในกลุ่มเดียวกัน โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของธุรกิจต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 5% ของรายได้ทั้งหมด หลังจากที่ธนาคารหันมารุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น
"เป้าหมายของเรานับจากนี้ ธนาคารจะไม่โฟกัสรายได้ที่เข้ามาอีกต่อไปแล้ว แต่จะหันมาโฟกัสเรื่องของการสร้างผลกำไรแทน ซึ่งมองว่าธุรกิจในต่างประเทศเป็นส่วนที่มีศักยภาพที่ดี และจะช่วยหนุนกำไรของกลุ่มธนาคารในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ"
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนั้น ธนาคารยังต้องติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ย.นี้ก่อน โดยที่ผ่านมา ธนาคารมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากไปแล้ว ในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่ได้มีการปรับขึ้น อย่างไรก็ตาม หากในรอบถัดไป กนง.มีมติปรับดอกเบี้ยขึ้น ธนาคารพร้อมส่งผ่านต้นทุนดอกเบี้ยไปยังระบบเพื่อให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยของ กนง.ต่อไป
**ยันกรณีปรับจ่ายเงินเดือน ขรก.ยึดหลักความสะดวกลูกค้า**
สำหรับจากกรณีการปรับเปลี่ยนการจ่ายเงินเดือนข้าราชการเป็น 2 งวดนั้น น.ส.ขัตติยา กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวธนาคารเน้นยึดตามความสะดวกของลูกค้าเป็นหลัก หากดูทั้งระบบเชื่อว่าสามารถทำได้ เนื่องจากการจ่ายเงินเดือนจะมาจากความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ส่วนการชำระหนี้เป็นไปตามความต้องการลูกค้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่กระทบธนาคารเนื่องจากมีลูกค้ากลุ่มข้าราชการน้อยมาก สำหรับภาพรวมภาวะเศรษฐกิจจากนโยบายของรัฐบาล มองว่า จะกระตุ้นการใช้จ่ายและทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโต แต่เป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้า ซึ่งในระยะกลางและยาวต้องรอความชัดเจนที่มากขึ้นกว่านี้ ตอนนี้ทางรัฐบาลทำเฉพาะหน้าไปก่อน
"ประเด็นนี้ยังไม่ได้มีการหารือกันในสมาคมธนาคารไทยเรื่องการแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการ แต่เชื่อว่าแต่ละธนาคารจะมีวิธีในการดูแล และปฏิบัติอยู่แล้ว เพียงแต่รอให้เกิดความชัดเจนก่อน"
