ตลท. เผย เตรียมบังคับใช้เกณฑ์กำกับบจ.ใหม่ในปี67 ทั้งปรับเพิ่มฟรีโฟลท - การเพิกถอนบจ. รวมถึงการรับหุ้นใหม่ และเข้มงวดการ Backdoor การออกเครื่องหมายเตือน นลท. เพื่อยกระดับการเตือนผู้ลงทุนกรณี บจ.มีปัญหาด้านฐานะการเงิน หวังเพิ่มความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนการลงทุน ระบุเป็นไปตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และฐานะการเงินของบริษัทในประเทศไทย
นางสาวปวีณา ศรีโพธิ์ทอง รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ตลท. กำลังทบทวนคุณสมบัติของบริษัทใหม่ที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมถึงทบทวนเกณฑ์เดิมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและเหมาะสมกับขนาดและฐานะการเงินของบริษัทในประเทศไทย โดยคาดว่าภายในปี 67 จะเห็นตลท.จะออกเกณฑ์กำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใหม่เข้ามามากขึ้น
สำหรับหนึ่งในการทบทวนเกณฑ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น คือการปรับปรุงเกณฑ์การกระจายการถือหุ้นโดยผู้ลงทุนรายย่อย (ฟรีโฟลท) ของบริษัทใหม่ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง SET และmai ที่อาจต้องปรับสัดส่วนฟรีโฟลทให้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว โดยเฉพาะบริษัทในตลาด mai หรือบริษัทขนาดเล็กที่มีฐานทุนต่ำ ควรมีสัดส่วนฟรีโฟลทมากๆ เพื่อให้มีสภาพคล่องในตลาดรองให้หมุนไปได้
รวมถึงกำลังพิจารณาหลักเกณฑ์กำหนดทุนจดทะเบียนของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาด SET ที่ไม่จำเป็นต้องมีมูลค่าถึง 300 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อสอดคล้องกับตัวธุรกิจในปัจจุบัน โดยคาดว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายในปี 67 เป็นต้นไป
ส่วนแนวทางการยกระดับการกำกับดูแลบจ.ด้าน Ongoing และการเพิกถอนนั้น จะมีทั้งในส่วนของการเพิ่มการเตือนผู้ลงทุนและเพิกถอนบริษัทที่มีปัญหาด้านผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน เช่น 1.กรณีบริษัทที่มีรายได้ต่ำหรือขาดทุนต่อเนื่อง 2.บริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้สถาบันการเงินหรือตราสารหนี้ และ 3.ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน
นอกจากนี้ ยกระดับการดำเนินการกับ บจ. ที่มีฟรีโฟลทไม่เป็นไปตามเกณฑ์ โดยจะมีการขึ้นเครื่องหมาย C และ SP แทนการเก็บค่าธรรมเนียมส่วนเพิ่มและการประกาศรายชื่อ หาก SP ติดต่อกันเกิน 2 ปี จะเข้าเหตุเพิกถอนตามเกณฑ์ปัจจุบัน
เพิ่มความเข้มงวด บริษัท Backdoor - ยกระดับเตือน นลท.มากขึ้น
รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดของการเข้าจดทะเบียนไม่ว่าด้วยช่องทางใดมีคุณภาพใกล้เคียงกัน โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะร่วมพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทหลัง Backdoor และ Resume Trading ในลักษณะเดียวกับการ IPO โดยการทำรายการดังกล่าวต้องมีบริษัทที่ปรึกษาการเงิน (FA) ด้วย
นอกจากนี้ ตลท.กำลังพิจารณาการ แยกเครื่องหมาย C เป็นหลายประเภท จากปัจจุบันที่มีเพียงเครื่องหมาย C (Caution) เดียว เพื่อยกระดับการเตือนผู้ลงทุนกรณี บจ.มีปัญหาด้านฐานะการเงินและการดำเนินงานด้วยเครื่องหมาย C หวังให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนการลงทุน
มองเกณฑ์ใหม่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ-ความโปร่งใส บจ.
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าที่ผ่านมาบริษัทมีความต้องการเข้าระดมทุมจำนวนมาก โดยประโยชน์ของการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ คือการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสให้แก่บริษัท ทำให้ระบบบัญชีและการควบคุมภายในมีมาตรฐาน สู่การเป็นองค์กรสำหรับผู้บริหารมืออาชีพ และยังสนับสนุนการเติบโต จากการเพิ่มช่องทางในการระดมทุนระยะยาว เสริมสร้างภาพลักษณ์ชื่อเสียงของบริษัท รวมไปถึงการเพิ่มโอกาสในการหาพันธมิตรทางธุรกิจด้วย แต่ในส่วนของกลุ่ม Owner จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านของสะท้อนมูลค่าธุรกิจตามราคาตลาด รวมไปถึงการจัดสรรในประโยชน์ภายในครอบครัวและการปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีระบบ
ทั้งนี้ การที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นมีประเด็นที่ต้องเตรียมให้พร้อมทั้งในส่วนของโครงสร้างผู้ถือหุ้นและโครงสร้างธุรกิจ รวมไปถึงโครงสร้างองค์กรกรรมการ ผู้บริหาร ทั้งในเรื่องของ Internal audit,Legal issue, Financial report ให้มีมาตรฐาน และเรื่อง ESG โดยสำนักงาน ก.ล.ต. จะมีเวลาจำกัดในการพิจารณาแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) บริษัทควรเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วนและชัดเจนไม่มีประเด็นให้ตั้งข้อสงสัย และกรรมการทุกท่านควรทำความเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามสำหรับผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่เข้าจดทะเบียนหรือ IPO โดยปัจจุบันผลตอบแทนเฉลี่ยหุ้น IPO เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 13% ถือว่าเป็นระดับที่ดี ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา