ซีวิลเอนจีเนียริง คว้างานโครงการก่อสร้าง Backlog นิวไฮ 23,925 ล้านบาท เผยทิศทางครึ่งปีหลังโชว์ 4 กลยุทธ์หลักเสริมการเติบโต รักษาความสามารถในการบริหารต้นทุน เร่งส่งมอบงานเก่าสะท้อนราคาต้นทุนเดิม เล็งจับมือพันธมิตรธุรกิจ พลังงานทดแทน และอสังหาริมทรัพย์ ขยายโอกาสสู่ธุรกิจใหม่ ขณะครึ่งปีแรก รายได้รวม 2,618 ล้านบาท กำไรสุทธิ 61 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 8.5%
นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL ผู้นำบริษัทก่อสร้างครบวงจรชั้นนำของไทย เปิดเผยถึงการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยการบริหารต้นทุนการก่อสร้างได้ดีในสภาวะที่ราคาวัสดุมีความผันผวนสูง ส่งผลให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งบริษัทมีความพร้อมเข้ารับงานใหม่ด้วยจุดเด่นการมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง สามารถบริหารสภาพคล่องของโครงการและผู้รับเหมาตามความเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินการและส่งมอบงานเป็นไปตามแผน
ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานด้วยความรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการยึดหลักความปลอดภัยของบุคลากรและแรงงานเป็นสำคัญ โดยการจัดอบรมด้านความปลอดภัย แผนงานป้องกัน และแผนการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเกิดอุบัติเหตุในโครงการก่อสร้าง
“บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานภายในองค์กร โดยมีแผนการนำเทคโนโลยีระบบใหม่ เช่น ระบบ RPA (Robotic Process Automation) เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณ ระบบ HR TECH ในกระบวนการบริหารงานด้านบุคลากร และ Power BI ระบบติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อยกระดับคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว
ขณะที่บริษัทสามารถดำเนินงานและรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างในมือได้ตามกำหนดเวลา เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา (สัญญาที่ 2-1 สีคิ้ว-กุดจิก) ความคืบหน้า 99% และ โครงการก่อสร้างประเภทรถไฟทางคู่ อีกทั้งบริษัทมีแผนเตรียมเข้ารับงานก่อสร้าง โดยแบ่งเป็นโครงการที่ลงนามสัญญาเรียบร้อยแล้ว มูลค่ารวม 11,324 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอลงนามสัญญาอีกหลายโครงการ มูลค่ารวม 12,601 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) จำนวน 23,925 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบริษัทและสามารถรับรู้รายได้จนถึงปี 2569
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,170 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,561 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทมีรายได้รวม 2,618 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,112 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 8.4% เป็น 8.5% ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่ดี
“บริษัทยังคงตั้งมั่นในการก้าวสู่เป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต และมุ่งพัฒนาองค์กรไปสู่ความสำเร็จพร้อมกับประเทศ สำหรับทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ โดยเฉพาะช่วงธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทจะเดินหน้าด้วยกลยุทธ์การดำเนินงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1.) การรักษาความสามารถในการบริหารต้นทุนและรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้าง พร้อมเพิ่มโอกาสการเข้ารับงานเพื่อเพิ่มการเติบโตของ Backlog อย่างต่อเนื่อง 2.) การเร่งส่งมอบงานเก่าที่สะท้อนราคาต้นทุนเดิมและบริหารโครงการภายใต้ราคาต้นทุนใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3.) มุ่งเน้นการเติบโตผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร เช่น ธุรกิจพลังงานทดแทน และอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นการเสริมสร้างจุดแข็งซึ่งกันและกัน เพื่อขยายโอกาสไปสู่ธุรกิจใหม่ที่ช่วยให้งานก่อสร้างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และ 4.) การพัฒนาศักยภาพองค์กรให้เติบโตไปพร้อมกันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว