ไวส์ โลจิสติกส์ แจ้งไตรมาส 2 มีรายได้ 975 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 63 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิ 6.41% ชูธุรกิจซัปพลายเชน โซลูชันและขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนโตโดดเด่น เดินหน้าศึกษาและทดลองโปรเจกต์ EV TRUCK ร่วมกับพันธมิตร คาดสรุปปีนี้
นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการบริการ 975 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,045 ล้านบาท ถือเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่อยู่ในช่วงอ่อนตัวตามฤดูกาลของธุรกิจที่เข้าสู่ Low Season ส่งผลให้ตัวเลขการนำเข้าและส่งออกลดลงในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ทำได้ 63 ล้านบาท ลดลง 63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 170 ล้านบาท (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) พร้อมทั้งสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิได้ไม่ต่ำกว่า 6.41% ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทฯ ได้เพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุนเพื่อเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ ด้วยกลยุทธ์การบริหารต้นทุนค่าขนส่งร่วมกับบริษัทในเครือ จึงทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ชะลอตัว
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มิถุนายน) มีรายได้รวม 2,006 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ ทำได้ 118 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่ลดลง เกิดจากอัตราค่าระวางเรือที่มีการปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 เป็นต้นมา ซึ่งมากกว่า 80% (Over Supply) อย่างไรก็ตาม ธุรกิจงานบริการด้านซัปพลายเชน โซลูชัน เติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้เพิ่มตามการขยายพื้นที่และตามปริมาณงานในการรับบริหารคลังสินค้า ขณะที่ธุรกิจขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service) มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากประเทศจีนเริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์ ทำให้ WICE สามารถขนส่งสินค้าผ่านด่านชายแดนได้เป็นปกติ ด้านการขนส่งทางทะเล (Sea Freight) และการขนส่งทางอากาศ (Air Freight) ปริมาณการขนส่งลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ปรับลดลงตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลังอย่างแน่นอน
ด้านความคืบหน้าของการนำบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จํากัด (มหาชน) หรือ ETL มีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดรองจากการซื้อขายหุ้นของ ETL จากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 310 ล้านบาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท) เพื่อรองรับการเติบโตของ ETL ในอนาคต
นายชูเดช กล่าวว่า ประเมินผลงานงวดครึ่งปีหลังปี 2566 สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะกลับมาฟื้นตัวประกอบกับการคาดการณ์การนำเข้าส่งออกจะปรับตัวดีขึ้น อ้างอิงจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ อีกทั้งเป็นช่วง High Season ของธุรกิจโลจิสติกส์ และประเทศคู่ค้าหลักของบริษัทได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน การนำเข้าส่งออกกำลังปรับตัวดีเช่นเดียวกัน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโต อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service) นับว่าเป็นธุรกิจที่เป็นไฮไลต์ คาดว่าจะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากประเทศจีนยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ไป ทำให้การขนส่งสินค้าทำได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามการเติบโตในธุรกิจโลจิสติกส์ รวมทั้งการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ประกอบกับบริษัทฯ มีกลยุทธ์ในการจัดการด้านการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ เดินหน้าบริหารขยายงานในการให้บริการด้านซัปพลายเชน โซลูชันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานให้บริการคลังสินค้าแบบออนไซต์ (Onsite Warehouse Management) โดยรับรู้รายได้จากการบริหารคลังของกลุ่ม SCG ที่กาญจนบุรี ในพื้นที่ 15,000 ตร.ม. รวมถึงล่าสุดที่ได้ลงนามบริหารคลังสินค้าของ บมจ.กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) (GYT) พื้นที่รวมกว่า 30,000 ตารางเมตร และยังเป็นผู้กระจายสินค้าประเภทยางรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยางรถบรรทุก จากโรงงานและคลังสินค้าทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ทาง GYT มีแผนจะขยายคลังสินค้าและการขนส่งเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้อยู่ระหว่างพูดคุยกับลูกค้ารายใหม่ๆ ในส่วนงานให้บริการด้านซัปพลายเชน โซลูชันเพิ่มมากขึ้น
สำหรับความคืบหน้าโครงการนำรถบรรทุกไฟฟ้า (EV TRUCK) เข้ามาช่วยขนส่ง เพื่อทดแทนการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากลูกค้าหลายรายของบริษัทฯ มีการผลักดันเรื่อง ESG เป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ (Carbon footprint) การขนส่งโดยใช้ EV TRUCK จึงตอบโจทย์กระแสดังกล่าว เพราะจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบกับรถยนต์สันดาปได้กว่า 40% นั่นจึงทำให้ WICE ได้ศึกษาและอยู่ระหว่างทดลองใช้ รวมถึงเจรจากับพันธมิตรควบคู่ไปด้วย จะต้องขนส่งสินค้านับแสนตันต่อปี หรือราว 300 -400 เที่ยวต่อเดือน อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มชัดเจนขึ้นในปลายปีนี้