ราคาทองคำยังไม่นิ่ง ค่าเงินแปรปรวน ขณะภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย และกรุ่นไอสงครามความขัดแย้ง หนุนความต้องการทองเพิ่ม ลุ้นปลายปีราคามีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ ด้าน “สภาทองคำโลก” เผยครึ่งปีแรกทองคำได้อานิสงส์จากธนาคารกลางซื้อต่อเนื่อง ส่วนจีนและตุรกียังคงซื้ออย่างแข็งแกร่ง ดัน ดีมานด์ทองคำไตรมาส 2 เพิ่ม 7% ขณะในไทยลดลง 10%
เมื่อวันศุกร์ (4 ส.ค. 66)ที่ผ่านมา ราคาทองวันนี้ขยับเพิ่มเล็กน้อย 50 บาท กล่าวคือราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ 31,800 บาท และ ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 32,300 บาท ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลก Gold Spot นิวยอร์ก ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 1,935.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมอยู่ที่ 1,948.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยเงินบาทระดับ 34.71 บาทต่อดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 34.34 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ราคาทองคำ ของบริษัท ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง จำกัด เผยว่า ราคาทองลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ จากแรงกดดันเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และ Bond yield เพิ่มขึ้น หลังจากการจ้างงาน ADP สหรัฐเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น 324,000 ตำแหน่ง แข็งแกร่งกว่าตลาดคาด แต่วันศุกร์ราคาทองฟื้นตัว หลังการจ้างงาน N-F สหรัฐเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 187,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาด ส่วนกองทุน SPDR ขายทองคำ 6.93 ตันในสัปดาห์ก่อน ดังนั้น แนวโน้มราคาทองคำระยะสั้นฟื้นตัว แต่ยังต้องระวังแรงเทขายเนื่องจากทิศทางราคาทองคำเป็นขาลง หลังจากราคาลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง แนวรับ 1,927 และ 1,923 ดอลลาร์ แนวต้าน 1,946 และ 1,954 ดอลลาร์
นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินภาพรวมทองคำสัปดาห์นี้ว่า ยังคงต้องจับตาประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.8% อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากครั้งก่อน อย่างไรก็ตามหากพิจารณาร่วมกับราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับตัวขึ้นตั้งช่วงเดือนกรกฎาคมที่ระดับ 67 เหรียญต่อบาร์เรล สู่ 81 เหรียญต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้น 21% เทียบเดือนก่อน จะเป็นตัวหนุนอัตราเงินเฟ้อเดือน สิงหาคม ดีดตัวกลับมาในกรอบ 2.8-3.0% ซึ่งประเมินแนวโน้มราคาทองคำเคลื่อนไหวแบบ Sideway down สาเหตุมาจากอัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมคาดว่าจะอ่อนตัวสู่ 2.8% ทั้งนี้มองราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ 1,915-1,960$/oz แนะนำซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้
ทั้งนี้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้น หลังมติการประชุม FOMC เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ กล่าวคือเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ส่งให้กรอบดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 5.25-5.50% อีกทั้งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน มองรับข่าวไปแล้ว หนุนราคาทองคำปรับตัวขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่าค่านี้จับตาประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ปี 66 ของสหรัฐหากออกมาต่ำกว่าคาดการณ์เป็นแรงหนุนต่อทองคำระหว่างวันหากราคาทองค่าอ่อนตัวลงไม่หลุดแนวรับ 1,965$/oz คำแนะนำทยอยเข้าซื้อสะสม
ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเก็บ
สภาทองคำโลก (World Gold Council) เปิดเผยข้อมูล ความต้องการทองคำได้รับอานิสงส์จากการซื้อของธนาคารกลางในช่วงครึ่งปีแรกและแรงหนุนจากตลาดการลงทุนที่แข็งแกร่งและความต้องการซื้อเครื่องประดับที่ฟื้นตัว โดยความต้องการทองคำทั่วโลก (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) ลดลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ 921 ตัน ในช่วงไตรมาสที่ 2 แม้ว่าดีมานด์โดยรวม (รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์)จะเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสะท้อนถึงตลาดทองคำที่แข็งแกร่งทั่วโลก
ขณะในประเทศไทย ดีมานด์ทองคำของผู้บริโภคลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ 7.6 ตัน จาก 8.5 ตันในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 การตกลงมานี้เป็นผลจากความต้องการเครื่องประดับที่ลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 1.7 ตัน จาก 1.9 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองคำโดยรวมลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 5.9 ตัน จาก 6.6 ตัน ในไตรมาส 2 ของปี 2565
Mr. Shaokai Fan หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า ราคาทองคำที่สูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ผันผวนรวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทยเป็นเหตุที่ส่งผลให้ดีมานด์ในไตรมาสที่ 2 ลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี รวมทั้งความต้องการซื้อเครื่องประดับทองคำลดลงเหลือน้อยกว่า 2 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคเลือกขายคืนเครื่องประดับทองคำมากกว่าซื้อใหม่
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทั่วโลก ความต้องการของธนาคารกลางในไตรมาสที่ 2 ลดลงมาอยู่ที่ 103 ตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนหลักจากยอดขายสุทธิในตุรกีตามดีมานด์ทองคำที่คับคั่งในประเทศ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางได้ซื้อทองคำจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในครึ่งปีแรกที่ 387 ตัน และอุปสงค์รายไตรมาสเป็นไปตามแนวโน้มเชิงบวกในระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ว่าการซื้อในหน่วยงานภาครัฐ ธนาคารกลาง และองค์กรต่างประเทศ (Official sector buying) จะแข็งแกร่งไปตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำพบว่าดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็น 277 ตัน ในไตรมาสที่ 2 และจบรวมที่ 582 ตัน ในครึ่งปีแรก จากการเติบโตของตลาดสำคัญ อันรวมไปถึงสหรัฐอเมริกาและตุรกี อีกทั้งการไหลออกของเงินทุนในกองทุน ETF ทองคำ ซึ่งอยู่ที่ 21 ตันในไตรมาสที่ 2 น้อยกว่าในไตรมาสเดียวกันของปี 2565 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอยู่ที่ 47 ตัน ทำให้การไหลออกสุทธิอยู่ที่ 50 ตันช่วงครึ่งแรกของปี
ด้านการบริโภคเครื่องประดับยังคงฟื้นตัวแม้เผชิญกับราคาที่สูง โดยเพิ่มขึ้น 3% ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมียอดรวมครึ่งปีแรกที่ 951 ตัน การฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศจีน และการซื้อของผู้บริโภคในตุรกีที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งช่วยหนุนการบริโภคในไตรมาสที่ 2
โดยสรุป ดีมานด์ทองคำรวมทั่วโลกสูงขึ้น 7% มาอยู่ที่ 1,255 ตัน ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าการผลิตจากเหมืองแร่จะทุบสถิติสูงสุดสำหรับครึ่งปีแรกที่ 1,781 ตัน
Ms. Louise Street นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสประจำสภาทองคำโลก กล่าวว่า ความต้องการที่สูงเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางมีอิทธิพลต่อตลาดทองคำในช่วงปีที่ผ่านมา แม้จะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 แต่แนวโน้มนี้ขีดเส้นใต้ความสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องทั่วโลก
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาช่วงครึ่งหลังของปี 2566 การหดตัวทางเศรษฐกิจอาจทำให้เกิดการดีดตัวของทองคำเพิ่มเติม ถือเป็นการเน้นย้ำบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยขึ้นอีกขั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ทองคำได้รับแรงหนุนจากความต้องการของนักลงทุนและธนาคารกลาง ซึ่งมาช่วยชดเชยความต้องการที่ลดลงสำหรับเครื่องประดับและเทคโนโลยีจากการประหยัดของผู้บริโภค
YLG มองเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง-ปลายปีทองคึก
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า เผยว่าหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 11 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่เริ่มวัฏจักรขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ส่วนสิ่งที่ตลาดให้สนใจมากกว่าคือถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในภาพรวมเรื่องทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย เฟดจะตัดสินใจในการประชุมเป็นรายครั้ง (Meeting by meeting) และจะขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจ (Data-Dependent Approach) โดยไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกหากมีข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมาสนับสนุน แต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ที่จะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้อยแถลงที่ไม่ได้กำหนดทิศทางที่ชัดเจน และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจากรอบก่อน ภาพรวมทิศทางทองคำในระยะสั้นที่ตอบรับประเด็นเดิมๆไปแล้วในช่วงก่อนหน้า จึงไม่ได้ถูกกดดันเพิ่มเติม นอกจากนี้ จากการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยอื่นๆ ตลาดได้คาดการณ์ว่าในปีนี้เฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยก็ยังน่าเป็นห่วง ดังนั้นมองว่าหากผ่านช่วงที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งไปได้ สถานการณ์เงินลงทุนจะพลิกไหลมาสู่ตลาดทองคำ
โดยหากมองภาพใหญ่จะเห็นว่าทองคำเป็นขาขึ้นมาแล้ว 3 ปีต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ต่อเนื่องมาจนสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน แม้ว่าในปีที่ผ่านมาสถานการณ์เหล่านี้จะเริ่มคลี่คลายและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นแต่ทองคำก็ยังทรงตัวในระดับสูง ดังนั้นหากนโยบายดอกเบี้ยที่เป็นปัจจัยกดดันทองคำหมดไปมองว่าการขึ้นของทองคำรอบนี้จะเป็นขาขึ้นไปอีก 3 – 5 ปี โดยหากผ่านจุดสูงสุดของปีที่ 2,079 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ไปได้ จะปรับตัวขึ้นไปที่ 2,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าซื้อสามารถใช้จุด 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์เป็นจังหวะเข้าซื้อได้ อย่างไรก็ดีแม้หลังผ่านช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นไปแล้วทาง YLG จะคาดการณ์ว่าทิศทางทองคำจะเป็นขาขึ้น แต่ยังคงคำแนะนำการลงทุนในทองคำที่สัดส่วน 5-15% ของพอร์ตลงทุนรวม เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต ไม่ควรลงทุนมากกว่านั้น
“ปัจจัยกดดันทองคือดอกเบี้ยและกำลังจะสิ้นสุดยุคขาขึ้น แต่ปัจจัยบวกสำหรับทองคำยังอยู่ครบ โดยเฉพาะปัจจัยเศรษฐกิจถดถอย หากมองเศรษฐกิจทั่วโลกจะเห็นว่ามีเพียงเอเชียเท่านั้นที่เป็นบวก ยุโรปและสหรัฐยังคงน่าจับตา ส่วนปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งฝั่งของจีนและสหรัฐ รวมถึงความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครน ก็ยังต้องติดตามต่อไป จึงเป็นไปได้ที่ช่วงปลายปีทองคำมีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่” นางสาวฐิภากล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำผ่านตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพราะทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ทั้งการลงทุนในประเทศผ่าน TFEX ส่วนการลงทุนต่างประเทศนั้น YLG เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนด้วยการจับมือกับ CME Group ตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ครอบคลุมบริการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าครบวงจร เพิ่มทางเลือกให้ที่สนใจลงทุนในตลาดล่วงหน้าที่มีสินค้าให้เลือกลงทุนอย่างครบถ้วน ทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน หุ้น ไปจนถึงสินทรัพย์ดิจิทัล
ดอลลาร์อ่อนค่า เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดทองคำ
นายพีระพงศ์ วิริยะนุเคราะห์ นักวิจัยอาวุโส แผนก Ausiris Intelligence บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวสรุปสถานการณ์ราคาทองในเดือนกรกฎาคมว่าราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สามารถกลับมายืนเหนือ 1,900 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หลังราคาทองคำทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือนในช่วงปลายเดือนมิถุนายน และเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,980 หรือประมาณ 31,900 บาท ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งถือว่าราคาทองคำในตลาดโลกปรับขึ้นราว 2.6% เมื่อเทียบกับราคาปิดช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน ที่ 1,919 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ขณะที่ราคาทองในประเทศปรับตัวลดลงเล็กน้อยโดยได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยราคาทองคำแท่ง 96.5% ขายออกต่ำสุดบาทละ 31,800 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกต่ำสุดบาทละ 32,300 บาท อ้างอิงราคาจากสมาคมค้าทองคำ
"สำหรับปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองในตลาดโลกคือ การอ่อนค่าของสกุลดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดใกล้ยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าเฟดจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25 - 5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี ในการประชุมวันที่ 27 กรกฎาคม เป็นครั้งสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ขณะแถลงการณ์ของนาเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยังเปิดเผยถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินในอนาคต ที่ว่า เฟดจะตัดสินใจในการประชุมเป็นรายครั้ง (Data-Dependent Approach) รวมทั้งพิจารณาถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจประกอบ และแน่นอนตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากประธานเฟดไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหากจำเป็น อีกทั้งท่าทีดังกล่าวไม่ได้ชัดเจนและแข็งกร้าว เมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อน ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังให้น้ำหนักว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าโดยคาดการณ์สูงถึง 80% อ้างอิงจาก CME Fed Watch Tool จาก CME GROUP แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยภายในปลายปีนี้ผลจะออกมาฝั่งใด หากดูสถิติย้อนหลัง 5 ปีล่าสุด ทองยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นการลงทุนสินทรัพย์ประเภททองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน"
ทั้งนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อราคาทองคำในเดือนสิงหาคม คือ ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเนื่องจากใกล้สิ้นสุดวงจรการปรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักในการหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้น ,สถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศต่างๆ ยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ,สถานการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งเป็นสกุลหลักมีแนวโน้มอ่อนค่าซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคาทอง , การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน จะมีผลทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น ,แนวโน้มการเกิดเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ จากการตรึงดอกเบี้ยในระดับสูงจะส่งผลบวกกับทองคำ และในทางกลับกันหากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยและจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทอง
สำหรับเดือนสิงหาคมออสสิริสมองว่า ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนหลักจากการคาดการณ์ว่าวัฎจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะใกล้สิ้นสุดแล้ว หากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อมองว่าน่าจะมีโอกาสขึ้นเพียงแค่อีก 0.25% อีก 1 ครั้งในครึ่งปีที่เหลือนี้ เนื่องจากความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งออสสิริส มองว่าจะเป็นปัจจัยกดดันทองระยะสั้น และไม่รุนแรงมาก มองเป็นจังหวะดีในการเข้าซื้อทองสะสม หลังจากพ้นจากแรงกดดันดังกล่าว ออสสิริสมองว่าดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าอาจเข้าสู่ ภาวะตลาดหมี (Bearish) แหล่งเงินทุนจะไหลเข้าสู่ตลาดทองคำ และหากเฟดเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีหน้า ก็คาดว่าทองคำจะสามารถลุ้นทำ ALL Time High ได้อีกครั้ง นายพีระพงศ์ กล่าวสรุป
บริษัท ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง จำกัด ออกบทวิเคราะห์มองราคาทองคำว่า ราคาทองคำ Spot ปรับลงแรง เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีล) เพิ่มขึ้น หลังจากสหรัฐเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัว 2.4% สูงกว่าตลาดคาดที่ระดับ 1.8% และสูงกว่าจีดีพีไตรมาส 1 ซึ่งขยายตัว 2.0%
บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำปรับตัวขึ้น หลังมติการประชุม FOMC เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ กล่าวคือเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ส่งให้กรอบดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 5.25-5.50% อีกทั้งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน มองรับข่าวไปแล้ว หนุนราคาทองคำปรับตัวขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่าค่านี้จับตาประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ปี 66 ของสหรัฐหากออกมาต่ำกว่าคาดการณ์เป็นแรงหนุนต่อทองคำระหว่างวันหากราคาทองค่าอ่อนตัวลงไม่หลุดแนวรับ 1,965$/oz คำแนะนำทยอยเข้าซื้อสะสม