xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.58 หลากปัจจัยกดดันในทิศทางอ่อนค่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (26 ก.ค.) ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.43 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.70 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 34.37-34.56 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยราคาทองคำปรับตัวลดลงตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการฝั่งสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่ารายงานดัชนี PMI ของฝั่งยุโรป และภาพรวมตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่าโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมา หลังจากที่เราได้ Call จุดกลับตัวของเงินบาท (มอง bottom ระยะสั้นที่ 33.75 บาทต่อดอลลาร์) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่กลับมากดดันค่าเงินบาทนั้นมีทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากความกังวลสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งหากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังไม่เปลี่ยนแปลง เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อ ทดสอบโซนแนวต้าน 34.75 บาทต่อดอลลาร์ได้

อย่างไรก็ดี เรามองว่าผู้เล่นต่างชาติบางส่วนที่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มค่าเงินบาท (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อาจรอจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทในการเพิ่มสถานะ Long THB ได้ เช่นเดียวกันกับฝั่งผู้ส่งออกที่ต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์หากเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ทำให้เราประเมินว่าหากสถานการณ์การเมืองในประเทศไม่ได้ถึงขั้นวิกฤต จนทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์ไทยอีกรอบ ค่าเงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องรุนแรง

ทั้งนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม คือ แนวโน้มเงินหยวนของจีน (CNY) ซึ่งจะขึ้นกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยจะต้องรอจับตาอย่างใกล้ชิดว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยขนาดไหน หลังการประชุม Politburo

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.40% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มการเงินที่ได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด เช่น Chevron +2.0% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวรด์ของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (Tesla +3.5% Alphabet +1.3%) หลังการรีบาลานซ์ดัชนี Nasdaq 100 ไม่ได้ส่งผลให้เกิดแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่อย่างที่ตลาดกังวล
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นเพียง +0.06% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะได้แรงหนุนจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด แต่รายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ลดลงต่อเนื่องและแย่กว่าคาด รวมถึงความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของสเปนหลังการเลือกตั้ง ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก

ในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ไม่ได้ออกมาเลวร้ายนัก ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.90% อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 3.80-3.88% ในช่วงคืนก่อนหน้า) อนึ่ง เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ระยะยาวดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะหากบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.00% อีกครั้ง ซึ่งเป็นระดับที่เรามองว่า downside risk จำกัดพอสมควรแล้ว

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยรายงานข้อมูลดัชนี PMI ฝั่งสหรัฐฯ ที่โดยรวมดูดีกว่ารายงานดัชนี PMI ฝั่งยุโรป ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 101.4 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 101-101.5 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,956 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board (Consumer Confidence) ซึ่งอาจปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า หลังอัตราเงินเฟ้อชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งอยู่

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอลุ้นรายงานรายงานภาวะสินเชื่อ (Bank Lending Survey) ในไตรมาส 2 ซึ่งเรามองว่ารายงานดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ใช้พิจารณาถึงความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากที่ ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +25bps ในการประชุมวันพฤหัสฯ นี้

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะรายงานจากบริษัทเทคฯ ใหญ่ เช่น Microsoft Alphabet เป็นต้น ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้ ส่วนในฝั่งไทยเราประเมินว่าผู้เล่นในตลาดควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย หลังล่าสุดนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยขายทำกำไรการลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น