xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.01 จับตาการเมืองกระทบฟันด์โฟลว์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (20 ก.ค.) ที่ระดับ 34.01 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.15 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.15 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 34.00-34.19 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ และการพลิกกลับมาอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด หลังบริษัทจดทะเบียนในฝั่งสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ต่างรายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์เริ่มรีบาวนด์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติได้ โดยมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกขายทำกำไรสถานะถือครองหุ้นไทย/Futures ออกมาก่อนได้ โดยเฉพาะในจังหวะที่ดัชนีหุ้นใหญ่อย่าง SET50 เริ่มชะลอการปรับตัวขึ้นและอาจติดโซนแนวต้านในระยะสั้นได้

นอกจากนี้ เรายังคงเห็นแรงซื้อของบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะผู้นำเข้ากลับเข้ามาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงโซน 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ช่วงดังกล่าวอาจยังพอเป็นแนวรับได้บ้าง แต่หากเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นหลุดโซนดังกล่าว เรามองว่าแนวรับถัดไปไม่น่าจะต่ำกว่าระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวต้านเงินบาทในช่วงนี้อาจอยู่ในโซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะเห็นปัจจัยเสี่ยงเข้ามากดดันให้เงินบาทอ่อนค่าชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยการเมืองในประเทศ หรือ ปัจจัยภายนอก อย่างทิศทางของเงินดอลลาร์ (ซึ่งปัจจุบันเงินดอลลาร์ยังไม่ได้กลับตัวเป็นขาขึ้นชัดเจนอีกครั้ง)

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นเทคฯ ใหญ่ ทั้ง Alphabet -1.4% Microsoft -1.2% จากรายงานว่า Apple กำลังพัฒนา AI เพื่อมาแข่งกับ ChatGPT ของทาง Microsoft และ Bard ของ Google (Alphabet) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.24%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อ +0.26% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในฝั่งตลาดหุ้นอังกฤษ (ดัชนี FTSE100 อังกฤษพุ่งขึ้น +1.8%) หลังอัตราเงินเฟ้ออังกฤษชะลอลงมากกว่าคาด ทำให้ตลาดต่างคาดหวังว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ไม่มากนัก อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกกดดันโดยการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH -1.0% Dior -0.6%) ตามความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยิลด์ระยะยาวเคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงแรกบอนด์ยิลด์ระยะยาวย่อตัวลงบ้าง หลังตลาดปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ BOE ตามรายงานอัตราเงินเฟ้ออังกฤษล่าสุดที่ชะลอลงกว่าคาด (เดิมตลาดมอง BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 6.50% แต่ล่าสุด ตลาดมองเพียง 5.75%-6.00%) อย่างไรก็ดี บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้หนุนให้บอนด์ยิลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้นได้บ้าง โดยบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 3.75% (แกว่งตัวในกรอบ 3.70-3.80% ในช่วงวันก่อนหน้า)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตามการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ (GBP) จากรายงานอัตราเงินเฟ้ออังกฤษที่ชะลอลงกว่าคาด ก่อนที่เงินดอลลาร์จะย่อตัวลงบ้าง ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 100.2 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 100.2-100.4 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และการเคลื่อนไหวในกรอบของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนอาจยังคงทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะมีผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ในช่วงนี้

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจรวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว เรามองว่า ควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย หลังล่าสุดการโหวตเลือกนายกฯ อาจยืดเยื้อและยังมีความไม่แน่นอนอยู่พอสมควร ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกระทบต่อมุมมองของนักลงทุนต่างชาติต่อการลงทุนในสินทรัพย์ไทยได้
กำลังโหลดความคิดเห็น