ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ประเมินว่า ตลาดหุ้นเสี่ยงปรับฐานลงอีก เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่สภาพคล่องทั่วโลกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากมาตรการ Quantitative Tightening (QT) คาดสิ้นปีนี้เห็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (Forward P/E) ของดัชนี S&P500 ลดลงมาเทรดที่ระดับต่ำกว่า 17 เท่า จากปัจจุบันที่ 19 เท่า
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินว่า หลังจากนี้ตลาดหุ้น S&P500 จะยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือเข้าสู่ภาวะปรับฐาน โดยประเมินว่าในช่วงปลายปี 66 อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (Forward P/E) ของดัชนี S&P500 จะลดลงมาซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า 17 เท่า จากปัจจุบันที่ 19 เท่า และมูลค่าหุ้น (Valuation) จะลดลงจากปัจจุบันประมาณ 10% โดยมีปัจจัยลบ 2 ประเด็นเป็นตัวกดดัน คือ 1.สภาพคล่องที่ลดลงจากมาตรการ Quantitative Tightening หรือ QT ของสหรัฐฯ และ 2.การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่ง TISCO ESU คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในปีนี้
สำหรับมุมมองการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดของ TISCO ESU เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ประชุมเฟดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาที่ได้ปรับขึ้นแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า (Dot plot) โดยระบุอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ 5.6% จากปัจจุบัน 5.1% เป็นการส่งสัญญาณว่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 25bps) ในปีนี้ สวนทางกับนักลงทุนในตลาดหุ้นดูจะไม่เชื่อว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งตามที่ส่งสัญญาณ โดยตลาด Fed Fund Futures ประเมินโอกาสที่เฟดจะปรับดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งในปีนี้เพียง 10% ซึ่งทำให้ตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาคาดหวังต่อการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้น โดยดัชนี S&P500 ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 10% ซึ่งต่างจากการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในอดีต ที่มักจะทรงตัวในกรอบแคบในช่วง 6 เดือนก่อน Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย แล้วค่อยปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 10% ในช่วง 6 เดือนหลังจากที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นในปัจจุบันจึงน่าจะสะท้อนว่าตลาดตอบรับต่อปัจจัยบวกจากการหยุดขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว จึงทำให้ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก
นอกจากนั้น ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากสภาพคล่องที่จะเริ่มลดลงในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดประมูลพันธบัตรใหม่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 6 เดือน หลังจากที่สภาคองเกรสผ่านกฎหมายประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ ไปในต้นเดือน มิ.ย. การขายพันธบัตรเป็นจำนวนมากจะเป็นการดึงดูดสภาพคล่องออกจากระบบเศรษฐกิจราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวมพันธบัตรที่ออกใหม่กับมาตรการ QT ของเฟด หรือการปล่อยให้พันธบัตรหมดอายุลงโดยไม่ซื้อกลับ ซึ่งกำหนดมูลค่าสูงสุดที่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน จะเท่ากับว่าปริมาณพันธบัตรที่จะออกขายให้กับภาคเอกชนจะมีมูลค่าสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 7% ของขนาดตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury outstanding) ปัจจุบันที่ 24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของ Bond Supply ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าจะเป็นปัจจัยหนุน Bond yield ให้อยู่ในระดับสูง และส่งผลให้สภาพคล่องในระบบลดลง