คืนที่ผ่านมาราคา Bitcoin เริ่มมีทีท่าปรับตัวสูงขึ้น จนในเช้าวันนี้ก็สามารถยืนราคาเหนือ 28,000 ดอลลาร์ ได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับ Bitcoin Dominance ที่ทะลุ 50% ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 1 ปีอย่างต่อเนื่อง
นายพริษฐ์ บุญเลื่อน นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด (Cryptomind Advisory) ที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของ จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยปัจจัยที่ช่วยผลักดันราคาเป็นเรื่องของกองทุนระดับโลก “Blackrock” ได้ยื่นขอเปิด Spot Bitcoin ETF ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ส่งผลต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้เพราะมีอีกอย่างน้อย 3 บริษัทจัดการสินทรัพย์ได้ร่วมยื่นขอเปิดอีกครั้งเช่นกัน
วันที่ 16 มิถุนายน “Blackrock” บริษัทจัดการสินทรัพย์มูลค่ากว่า 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ยื่น Filing กับ ก.ล.ต. สหรัฐเพื่อขอเสนอขาย Spot Bitcoin ETF ให้แก่ลูกค้า โดยสถิติที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2013 นั้นไม่เคยมีบริษัทไหนขอผ่านมาก่อน (ยกเว้น Bitcoin Future ETF ที่เคยได้รับอนุญาต)
การตัดสินใจยื่น Filing ในช่วงเวลาเดียวกับที่ ก.ล.ต. สหรัฐยื่นฟ้อง Coinbase และ Binance US ด้วยข้อหา “ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนกับ ก.ล.ต. สหรัฐ” นั้น ถือว่าผิดเวลาอย่างมาก อีกทั้ง Gary Gensler ประธานกรรมการ ก.ล.ต. สหรัฐ ยังได้ให้สัมภาษณ์ว่า “สหรัฐไม่ต้องการ Digital Asset รูปแบบใหม่เพราะมีดอลลาร์สหรัฐ เงินยูโร และเงินเยนญี่ปุ่นอยู่แล้ว
แต่หากมองดูที่คำฟ้องให้ละเอียดขึ้นนั้น “ก.ล.ต.สหรัฐ ไม่ได้กล่าวถึง Bitcoin เลยแม้แต่น้อย” จึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่ “Bitcoin นั้นอาจจะไม่ถูกนับเป็นหลักทรัพย์ที่ต้องลงทะเบียน” ซึ่ง Blackrock เข้าใจสถานการณ์นี้ดี จึงอาศัยจังหวะนี้แสดงเจตจำนงกับ ก.ล.ต.สหรัฐ ว่ามีลูกค้าที่ต้องการลงทุนจริง และช่วยกดดันไปทาง ก.ล.ต. สหรัฐด้วย เพราะ Blackrock เคยยื่นขออนุมัติ ETF กับ ก.ล.ต. สหรัฐทั้งหมด 576 ครั้ง แต่ไม่ผ่านเพียงครั้งเดียว
ด้วยอัตราการรับรองที่สูงมากของ Blackrock ทำให้บริษัทจัดการสินทรัพย์อื่น ๆ ที่เคยยื่นเสนอแล้วไม่ผ่านอย่าง BitWise และ Wisdom Tree ขอยื่นใหม่อีกครั้งทันที นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับ Fidelity ที่อาจซื้อ Grayscale หรือยื่นขอเปิด Spot Bitcoin ETF ด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้า Blackrock ได้รับการอนุมัติก็จะทำให้บริษัทอื่น ๆ สมควรที่จะได้รับเช่นเดียวกัน
นอกจากข่าวการยื่นขอเปิด Spot Bitcoin ETF เช้ามืดของวันนี้ยังมีข่าวธนาคาร Deutsche Bank สถาบันการเงินที่ใหญ่สุดของเยอรมนี ยื่นขอใบอนุญาตการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลจาก BaFin และกองทุนระดับโลกอย่าง Citadel, Fidelity, Charles Schwab, Sequoia Capital, Virtu Financial, และ Paradigm รวมตัวสร้าง EDX exchange ที่จะให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin, Ethereum, Litecoin และ Bitcoin Cash อีกด้วย
ซึ่งทุกเหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นการเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วบนโลกคริปโทเคอร์เรนซี หากสมมติให้ Blackrock ยื่นขอสำเร็จ เพียงแค่ 1% ของ AUM ที่ Blackrock บริหาร ก็คิดเป็นมากกว่า 16% ของ Market cap Bitcoin แล้ว เม็ดเงินก้อนใหญ่นี้จะเป็นแรงซื้อมหาศาลให้กับ Bitcoin ได้อย่างแน่นอน ซึ่งยังไม่นับกับบริษัทอื่น ๆ ที่จะได้รับอนุมัติด้วยเช่นกัน
ดังนั้นการยื่นขอเปิด Spot Bitcoin ETF ของ Blackrock จะเป็นเปลี่ยนของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีให้กลับมาเป็น Bullrun ได้อีกครั้งได้หรือไม่ มีเรื่องอะไรเบื้องหลังที่นักลงทุนรายย่อยอย่างเรารู้ไม่เท่ากับนักลงทุนสถาบันอีก คงต้องให้ ก.ล.ต. สหรัฐเท่านั้นที่จะให้คำตอบกับเราได้ เหตุการณ์นี้จึงควรจับตามองอย่างใกล้ชิด