ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) เผยบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) เข้าลงทุนในตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) และตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล (Blue Bond) มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ออกโดยธนาคาร เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน (Blue Economy) และช่วยเร่งจัดสรรเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ตลอดจนสนับสนุนการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ทั้งนี้ ภายใต้การสนับสนุนผ่านการลงทุนดังกล่าวจาก IFC ธนาคารจะดำเนินการสนับสนุนด้านเงินทุนจำนวนรวม 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่โครงการธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเลที่มีศักยภาพ เช่น การจัดหาแหล่งน้ำสะอาด การประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและอื่นๆ และสนับสนุนเงินทุนส่วนที่เหลือแก่โครงการธุรกิจเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอื่น เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรายย่อย
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเลเป็นครั้งแรกนี้ จะทำให้ธนาคารสามารถเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายระยะกลางในการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจที่ส่งเสริมความยั่งยืนเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้าน-3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ภายใต้การสนับสนุนของ IFC ธนาคารจะยังคงความเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งในการออกตราสารหนี้เพื่อการลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ (Thematic Bond) ในฐานะพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจโดยเฉพาะในด้านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ยั่งยืน
นอกเหนือจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว IFC จะสนับสนุนกรุงศรีในการพัฒนากรอบการทำงานในการออก Green Bond และ Blue Bond รวมถึงพัฒนาระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนทางการเงินเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล
น.ส.เจน หยวน ซู (Jane Yuan Xu) ผู้จัดการประจำประเทศไทยและพม่าของ IFC กล่าวว่า การเงินเพื่อความยั่งยืนและการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนยังคงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ในการดำเนินงานของ IFC ในประเทศไทย และ IFC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับกรุงศรี ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเราในโครงการที่สำคัญนี้ โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียประสบกับคลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์ และส่งผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา โดยคณะกรรมาธิการร่วมด้านการค้า อุตสาหกรรม และการธนาคาร (กกร.) ได้รายงานว่าภัยแล้ง น้ำท่วม และสภาวะอากาศแบบสุดขั้วอื่นๆ ได้ทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยเป็นมูลค่ากว่า 36,000 ล้านบาทในปีนี้
"ความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศที่สำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับประเทศไทยคือภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจด้านทรัพยากรทางทะเล ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ประเทศไทยมีขยะที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเฉลี่ยปีละ 1.03 ล้านตัน และจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของขยะดังกล่าวถูกปล่อยให้ไหลลงสู่ทะเล โดยประเทศไทยยังติดอันดับ 1 ใน 6 ของประเทศทั่วโลกที่ก่อให้เกิดมลพิษพลาสติกในทะเลอีกด้วย"