xs
xsm
sm
md
lg

เอสซีบี เอกซ์เดินหน้าดันธุรกิจกลุ่ม Gen 2 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกำไรเป็น 10-15% ใน 3 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายมานพ เสงี่ยมบุตร Chief Finance & Strategy Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทเอสซีบีเอกซ์ จำกัด ภายหลังจากการปรับโครงสร้างจากธนาคารไทยพาณิชย์มาเป็นบริษัทโฮลดิ้งตั้งแต่ปี 2564 โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 Gen หลักๆ ได้แก่ Gen 1 ธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ Gen 2 ธุรกิจดิจิทัลเลนดิ้ง ได้แก่ CardX autox monix และ ALPHAx และGen 3 มุ่งเน้นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี มีแอปโรบินฮู้ด และบริษัท SCB10X เป็นหลักนั้น ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปตามลำดับ โดยกลุ่มธุรกิจใน Gen 2-3 เริ่มดำเนินธุรกิจได้ตามแผนงานที่วางไว้ และได้ตั้งเป้าสัดส่วนกำไรจากธุรกิจในกลุ่ม Gen 2 ไว้ที่ 10-15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มาจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์เกือบ 100%

"กลุ่มธุรกิจ Gen 2 ของเรา CardX ทำธุรกิจบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลที่รับโอนมาจากแบงก์ ปัจจุบันมีพอร์ตแสนกว่าล้านแล้ว ส่วน autox ทำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเปิดมา 9 เดือน มียอดสินเชื่อ1 2,000 ล้านบาท และตั้งเป้าปีนี้จะอยู่ที่ 35,000 ล้านบาท ซึ่งบางบริษัทในกลุ่มน่าจะใกล้ถึงจุดคุ้มแล้วและเร็วกว่าที่เราคาดไว้ ขณะที่ monix และ ALPHAx จับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้น้อยและใช้ช่องทาง Digital ในการปล่อยกู้ ส่วน Gen 3 แอปโรบินฮู้ดมีจำนวนดาวน์โหลด 15 ล้านราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับลดการสนับสนุนค่าขนส่งและเพิ่มธุรกิจใหม่จะทำให้ผลขาดทุนลดลงจนถึงจุดคุ้มทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่กลุ่มธุรกิจทางเทคโนโลยีอื่นจะทำหน้าที่คิดค้นนวัตกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจบริษัทในเครือทำให้เราบริหารต้นทุนได้ดี ดังจะเห็นได้จากสัดส่วน Cost to Income ในช่วงไตรมาสแรกที่ลดลงต่ำกว่า 40% จะส่งผลให้ NiM และกำไรสูงขึ้นตามไปด้วย"

พร้อมกันนั้น จากจำนวนเงินสดในกลุ่มที่ยังมีสภาพคล่องเหลืออยู่กว่า 800,000 ล้านบาท จึงยังมองหาการลงทุนในธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น โดยจะมุ่งเน้นขยายไปต่างประเทศหลัก โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมถึงการเข้าซื้อธุรกิจที่น่าสนใจแต่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ และต้องเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ยาก โดยเฉพาะการเข้าซื้อธุรกิจที่มีผลกำไรอยู่แล้ว

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2 นั้น มองว่ารายได้จากดอกเบี้ยจะยังได้รับผลบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมยังมีความท้าทายจากภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่มีความผันผวน แต่ในธุรกิจแบงก์แอชชัวรันยังเติบโตได้ดี จึงไม่น่าจะกระทบมากนัก ประกอบการการบริหารจัดการด้านต้นทุนที่ปัจจุบันมี Cost to Income ต่ำกว่าระดับ 40% น่าจะส่งให้สัดส่วน Nim เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ 3.46% และมีรายได้เติบโตได้ 10% ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ขณะที่อัตราการจ่ายปันผลนั้นล่าสุดอยู่ 60% ของกำไรสุทธิ

นายมานพ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่นักลงทุนมักจะถามเราคือ กำไรก็เพิ่ม เงินปันผลก็สูง แล้วทำไมราคาหุ้นทรงตัว ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่แล้วเรายังดีกว่าดัชนีตลาดที่ลดลง 6% แต่แพ้หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น 3% โดยในส่วนนี้มองใน 3 ปัจจัยก็คือ หนึ่งนักลงทุนกังวลเรื่องคุณภาพสินเชื่อ ซึ่งต้องชี้แจ้งว่า ธนาคารไทยพาณิชย์มีแนวทางแก้ไขสินเชื่อที่มีปัญหาในเชิงลึกและยาว ตอนนี้เรามีส่วนที่มีปัญหาประมาณ 280,000 ล้านบาท คิดเป็น 12% ของพอร์ตรวมที่ 2.4 ล้านล้านบาท ปัจจุบันมากกว่า 50% ของกลุ่มที่มีปัญหาเริ่มกลับมามีผลประกอบการที่เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ปัจจัยที่สอง ความกังวลด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับโครงสร้าง ซึ่งตรงนี้ได้ตัดจบไปตั้งแต่ปีที่แล้วซึ่งทำให้ Cost to Income เรากลับมาลดลงต่ำกว่า 40%

และสาม ความกังวลในเรื่องการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท ซึ่งต้องชี้แจงว่า บริษัทไม่มีนโยบายในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง แต่จะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น อย่างในกรณีของการลงทุนในบิทคับนั้น สะท้อนให้เห็นว่า หากมีโอกาสที่ดีบริษัทพร้อมที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ แต่เมื่อสถานการเปลี่ยนไป เราพร้อมที่จะถอยกลับมา และในปัจจุบันยังยืนยันว่าไม่มีนโยบายที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง
กำลังโหลดความคิดเห็น