นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (9 มิ.ย.) ที่ระดับ 34.63 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.81 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่ในระหว่างวันเงินบาทไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านแถว 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ โดยปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำในจังหวะรีบาวนด์
เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นแผ่วลงชัดเจน สะท้อนผ่านการที่เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านไปได้ไกล นอกจากนี้ เรามองว่าในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน แรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออก รวมถึงการขายทำกำไรสถานะ Short THB (มองว่าเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนมีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท
อย่างไรก็ดี เรามองว่าเงินบาทอาจจะยังไม่สามารถพลิกกลับมาเป็นเทรนด์แข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟดและคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟด หรือ Dot Plot ใหม่ในสัปดาห์หน้า ทำให้โดยรวมเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนในกรอบ sideway 34.40-34.95 บาทต่อดอลลาร์ไปก่อน โดยมีโซนแนวรับสำคัญแถว 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้นำเข้าบางส่วนอาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว ทั้งนี้ เราเริ่มเห็นสัญญาณว่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ไม่ยากหากประเด็นแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดจบลง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นไทย (ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2 วันติดต่อกัน ราว 3.4 พันล้านบาท)
ด้านบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังจากที่ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 73% (จาก CME FedWatch Tool) ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอลงมากขึ้น สะท้อนผ่านยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก นอกจากนี้ มุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นธีม AI รีบาวนด์ขึ้นแรง นำโดย Nvidia +2.8% Amazon +2.5% ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.02% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.62%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงย่อตัวลง -0.02% กดดันโดยความกังวลว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อสูง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวนด์ขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่ม Healthcare (Novartis +1.0% Novo Nordisk +0.6%) อยู่บ้าง ตามความต้องการถือหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบน้อยจากการขึ้นดอกเบี้ยหรือแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว
ทางด้านตลาดบอนด์ การปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานออกมาแย่กว่าคาด ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.72% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยิลด์อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยยังคงมีโซนแนวต้านแถว 3.80%-3.90% และผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อ (buy on dip)
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงชัดเจนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.3 จุด หลังผู้เล่นในตลาดกลับมามองว่าเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC สัปดาห์หน้า จากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่การปรับตัวลงชัดเจนของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) รีบาวนด์ขึ้นจากโซน 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,980-1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนในช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI โดยหากทั้งอัตราเงินเฟ้อ CPI และ PPI ยังคงอยู่ในระดับต่ำ หรือชะลอลงต่อเนื่องอาจเป็นสัญญาณสะท้อนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นไม่ได้ดีอย่างที่ตลาดคาดหวัง ทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) และรัฐบาลจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น การลด RRR พร้อมกับกระตุ้นการบริโภคในประเทศ หรือกระตุ้นภาคอสังหาฯ