ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เข้าเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างย่ำแย่มาก โดยปรับตัวลดลงกว่า 9% YTD เข้าไปแล้ว ถือว่าให้ผลตอบแทน "ต่ำที่สุด" อันดับ 3 ของโลก จากตลาดหุ้นทั่วโลก 92 ตลาด โดย 2 อันดับแรกที่ให้ผลตอบแทนยอดแย่ที่สุด ได้แก่ตลาดหุ้นโคลัมเบีย ย่ำแย่มากที่สุด -13.1% YTD รองลงมาเป็น ตลาดหุ้นตุรกี -10% YTD
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยย่ำแย่ ประเด็นสำคัญน่าจะมาจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ และการขายไม่ใช่การขายธรรมดา เพราะเป็นการขายออกมากว่า 1 แสนล้านบาทเข้าไปแล้วตั้งแต่ต้นปี ยิ่งไปกว่านั้น ต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกมาติดต่อกัน 18 วันทำการ มูลค่าการขายสูงถึง 4.1 หมื่นล้านบาท
คำถาม คือ เพราะสาเหตุอะไรนักลงทุนต่างชาติจึงเทขายหุ้นไทยค่อนข้างหนัก
คำตอบของสื่อต่างชาติ และมุมมองบทวิเคราะห์มองไปในทางเดียวกันว่า นักลงทุนต่างชาติยังไม่มั่นใจการลงทุนในหุ้นไทยช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมือง อีกทั้ง ถ้าเรามองในเชิง Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังถือว่าไม่น่าสนใจเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามการจะมองว่าต่างชาติ "เน้นขาย" อย่างเดียว ก็อาจจะไม่ถูกต้องสักเท่าไรนักเพราะในปี 2565 นักลงทุนต่างชาติเน้นซื้อหุ้นไทยค่อนข้างมาก โดยมีการซื้อสะสมไปแล้วกว่า 2.25 แสนล้านบาท แต่การขายลงมา 1 แสนล้าน ทำให้ยอดซื้อสะสมลดลงมาค่อนข้างเร็ว และเหลือเพียง 1.01 แสนล้านบาท ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้จากเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยวที่ดี และประเด็นการเมืองที่ดูผ่อนคลายลง (การชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล) คล้ายกับช่วงปี 2563 และปี 2565 ที่ออกมาแย่ในครึ่งปีแรก และปรับตัวโดดเด่นในครึ่งปีหลัง
โดยในปี 2563 ครึ่งปีแรก SET Index ลดลง -15.2% ก่อนจะปรับตัว +8.2% ในครึ่งปีหลัง
ต่อมาในปี 2564 ครึ่งปีแรก SET Index เพิ่มขึ้น +9.6% และปรับตัว +4.4% ในครึ่งปีหลัง
ล่าสุดในปี 2565 ครึ่งปีแรก SET Index ลดลง -5.4% ก่อนจะปรับตัว +8.2% ในครึ่งปีหลัง
ดังนั้น ในช่วงที่เหลือของปี ถ้าเศรษฐกิจไทยออกมาดี การท่องเที่ยวโดดเด่น และการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่่ราบรื่น จะส่งผลดีและนักลงทุนอาจจะเห็น SET Index กลับมาสดใสได้อีกครั้ง
แหล่งที่มาของข้อมูลโดย : stock2morrow , บล.เอเชียพลัส ,SET Smart