สำนักงาน ก.ล.ต. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งต่อผู้กระทำความผิด 6 ราย กรณีขายหุ้น PTG โดยอาศัยข้อมูลภายใน เปิดเผยและช่วยเหลือการกระทำความผิด ปรับเป็นเงินรวม 51.50 ล้านบาท และห้ามนั่งบอร์ด 12-31 เดือน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งต่อผู้กระทำความผิด 6 ราย กรณีขายหุ้น บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) โดยอาศัยข้อมูลภายใน เปิดเผยข้อมูลภายใน หรืออินไซเดอร์และช่วยเหลือการกระทำความผิด โดยให้ผู้กระทำผิดชำระเงินรวม 51,540,993 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร
สำนักงาน ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตรวจสอบเพิ่มเติมพบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่าบุคคล 6 รายกระทำการที่เข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับการขายหุ้นโดยอาศัยข้อมูลภายใน ได้แก่ (1) นางฉัตรแก้ว คชเสนี อดีตกรรมการและกรรมการบริหาร PTG ล่วงรู้ข้อมูลภายในที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อราคาหุ้น PTG เกี่ยวกับข้อมูลผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 ที่มีกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้จากการขายและการให้บริการลดลงและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น ภายหลังล่วงรู้ข้อมูลนางฉัตรแก้ว ได้ขายหุ้น PTG ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ (2) น.ส.ลภัสอร คชเสนี (3) นายสหัสชัย คชเสนี และ (4) นายเขมภพ คชเสนี ก่อนที่ PTG จะเปิดเผยข้อมูลต่อ ตลท.ในวันที่ 8 พ.ย.61
นอกจากนี้ นางฉัตรแก้ว ได้เปิดเผยข้อมูลภายในแก่ (5) นางกชกรณ์ พิบูลธรรมศักดิ์ ซึ่งได้นำไปใช้ขายหุ้น PTG ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง และ (6) นายธราธร พิบูลธรรมศักดิ์ ล่วงรู้ข้อมูลภายในและขายหุ้น PTG ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองก่อนที่ PTG จะเปิดเผยข้อมูลเช่นกัน
การกระทำของนางฉัตรแก้ว นางกชกรณ์ และนายธราธร เป็นความผิดฐานขายหุ้น PTG โดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 243(1) มาตรา 244(4) หรือมาตรา 244(5) แล้วแต่กรณี ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
นอกจากนี้ การกระทำของนางฉัตรแก้ว เป็นความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(2) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันด้วย
ส่วนการกระทำของ น.ส.ลภัสอร นายสหัสชัย และนายเขมภพ เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานขายหุ้น PTG โดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 315 ประกอบมาตรา 242(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับต่อผู้กระทำความผิดทั้ง 6 รายดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้
1) นางฉัตรแก้ว จ่ายค่าปรับและชดใช้เงินรวม 42,154,171 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร 31 เดือน
2) น.ส.ลภัสอร นายสหัสชัย และนายเขมภพ จ่ายค่าปรับและชดใช้เงินรายละ 537,586 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารรายละ 20 เดือน
3) นางกชกรณ์ จ่ายค่าปรับและชดใช้เงินรวม 4,187,731 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร 12 เดือน
4) นายธราธร จ่ายค่าปรับและชดใช้เงิน 3,586,333 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร 12 เดือน
หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง