เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ไตรมาสแรกปีนี้รับผลขาดทุนจาก "ซิงเกอร์ประเทศไทย" ฉุดตัวเลขขาดทุน 294.7 ล้านบาท ผู้บริหารเดินกลยุทธ์ลดต้นทุนและ NPL พร้อมปรับกระบวนการทำงาน อีกทั้งเตรียมรับรู้รายได้จากการลงทุนใหม่ หนุนผลงานฟื้น คาดเห็นผลครึ่งปีหลัง
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกขาดทุน 294.7 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งตัวเลขขาดทุนจากบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มูลค่า 218 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามสัดส่วนที่ถือหุ้นคือ 25.2% และผลจากการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Loss) จากเงินลงทุนในตราสารทุนอีก 352 ล้านบาท (หลังหักภาษี)
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผลงานไตรมาส 2 จะเริ่มมองเห็นกำไร หลังจากบริษัทแก้ไขปัญหาของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER และบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เพราะช่วงที่ผ่านมาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ JMART ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้รัดกุม ซึ่งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ถือว่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุดของผลประกอบการ และเชื่อว่า JMART สามารถกลับมาพลิกมีกำไรได้อย่างชัดเจนในไตรมาส 3 ปีนี้
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ผลงานปี 67 บริษัทจะมีกำไรเติบโต 50% เนื่องจากไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ บริษัทมีการปรับฐานใหม่ โดยเฉพาะจากบริษัทต่างๆ เพราะระหว่างนี้ JMART ยังคงมีการลงทุนใหม่ๆ ต่อเนื่อง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เข้ามาเติมเต็มให้ JMART อีก 2 ดีล ซึ่งเป็นการลงทุนธุรกิจ SME ที่บริษัทเห็นถึงศักยภาพและนำมาต่อยอดโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กลุ่ม JMART ได้
ขณะที่การถือหุ้นในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป หรือสุกี้ตี๋น้อย สัดส่วน 30% นั้น ปีนี้คาดว่าจะมีกำไร 890 ล้านบาท จากไตรมาสแรกปีนี้ที่รับรู้กำไรแล้ว 209 ล้านบาท และคาดว่าจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.ได้ช่วงไตรมาส 3 นี้ คาดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้กลางปี 67
สำหรับ SINGER และ SGC นั้นจะมีการปรับโครงสร้างภายใน ตลอดจนการตั้งสำรองในไตรมาส 2 ปีนี้ ส่วนไตรมาส 3 คาดจะจัดการสินทรัพย์ที่ยึดมาส่วนใหญ่เป็นเครื่องไฟฟ้ามูลหนี้ 897 ล้านบาท และขายออกไปแล้ว 50% ขณะเดียวกัน พยายามปรับลดค่าใช้จ่ายลง 20%
ทั้งนี้ ในส่วนของ SGC นั้นบริษัทจะมีการปรับกระบวนการทำงาน เช่น ปรับสัญญาการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อคุม NPL ตลอดจนกระบวนการปล่อยสินเชื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้น เพื่อตอบสนองลูกค้าใหม่ให้มีคุณภาพ ตลอดจนการตัดขายหนี้สูญออกไปเพื่อนำเงินที่ได้มาปล่อยสินเชื่อใหม่ต่อไป ขณะบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT นั้น บริษัทตั้งเป้ากำไรโต 30% จากปีก่อนที่ทำไว้ 1,745.57 ล้านบาท และมีรายได้ 4,468.39 ล้านบาท ซึ่งเป็นการทำสถิติใหม่สูงสุดใหม่เพราะธุรกิจบริหารหนี้อย่างบริษัทบริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด J(AM) และ JK ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 453.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.50% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 366.95 ล้านบาท
ขณะที่แผนการนำบริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด (JAM) ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั้น ได้เลื่อนออกไปจากเดิม เนื่องจากบริษัทประเมินแล้วว่ามีเงินทุนเพียงพอที่จะขยายธุรกิจโดยไม่ต้องระดมทุน เพราะบริษัทมีเงินทุนเพียงพอ ทั้งกระแสเงินสด เงินกู้จากบริษัทแม่และสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ JMART ยังคงมีการลงทุนใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งช่วง 2-3 เดือนนี้คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เข้ามาเติมเต็มให้ Ecosystem ของ JMART อีกราว 2 ดีล ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไซส์ไม่ใหญ่มาก เป็นธุรกิจขนาด SME ที่บริษัทเห็นถึงศักยภาพและนำมาต่อยอดโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กลุ่ม JMART ได้