xs
xsm
sm
md
lg

SINGER-JMART กอดคอร่วง โบรกฯ หั่นเป้าวูบแนะ "ขาย" กังวล NPL พุ่ง แถมเปลี่ยนผู้บริหารท่ามกลางปัญหาเพียบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SINGER-JMART กอดคอร่วง โบรกฯ หั่นเป้าวูบแนะ "ขาย" กังวล NPL พุ่ง แถมเปลี่ยนผู้บริหารท่ามกลางปัญหาเพียบ โดยแนวโน้มการเติบโตน่าเป็นห่วง SINGER ถูกวางกลยุทธ์ให้เป็นช่องทางหลักในการจัดจำหน่ายสินค้าให้ J-Mobile โดยยอดขายในปี 65 ของ SINGER เกือบ 1 พันล้านบาท (หรือประมาณ 36% ของยอดขายรวม) เป็นการขายสินค้า IT ที่มากจาก J-Mobile นอกจากนี้ JMART (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SINGER) พยายามจะผลักดันให้ SINGER เป็นกลไกหลักสำหรับธุรกิจการปล่อยขยายสินเชื่อผู้บริโภคบนฐานลูกค้าของ BRR

เมื่อเวลา 10.45 น. โดย SINGER ลบ 2.11% มาอยู่ที่ 13.90 บาท ลดลง 0.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 57.30 ล้านบาท และเมื่อเวลา 15.01 น. ราคาปรับลงไปที่ 13.10 บาท ลดลง 1.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 172,89 ล้านบาท หรือปรับลง 7.75%

ด้านราคาหุ้น JMART ก็ปรับตัวลงเช่นกัน โดยเมื่อเวลา 15.00 น. ราคาปรับไปที่ระดับ 18.70 บาท ลดลง 1.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 391,12 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลง 5.56%

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ มอง บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) เป็น "ลบ" มากขึ้น หลังจากที่ NPL เพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่แล้ว และการที่ผู้บริหารลาออกแสดงว่าปัญหา NPL อาจจะรุนแรงกว่าที่เราคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงปรับเพิ่มสมมติฐาน credit cost และปรับลดสมมติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อ ดังนั้น จึงปรับลดประมาณการกำไรปี 66-67 ลง 53% และ 28% รวมถึงปรับลดราคาเป้าหมายปี 66 เหลือ 11.60 บาท และลดคำแนะนำจากถือเป็นขาย

นอกจากนั้น SINGER แจ้ง SET ว่า นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และบริษัทได้แต่งตั้ง นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ (CEO ของ J-Mobile) เป็น CEO คนใหม่ของ SINGER

เคจีไอ มองว่า นายกิตติพงศ์ ถือเป็นผู้บริหารสำคัญที่นำพา SINGER พลิกฟื้นสถานการณ์จากขาดทุนเป็นการฟื้นตัว สถานการณ์นี้ดูไม่ปกติ เพราะ SINGER กำลังเผชิญกับปัญหา NPL ก้อนใหญ่จากธุรกิจสินเชื่อลีสซิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดำเนินการจากบริษัทลูก คือ บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) ดังนั้น การลาออกของผู้บริหารคนสำคัญจึงเป็นสัญญาณลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น และทำให้เกิดความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว

แนวโน้มการเติบโตน่าเป็นห่วง SINGER ถูกวางกลยุทธ์ให้เป็นช่องทางหลักในการจัดจำหน่ายสินค้าให้ J-Mobile โดยยอดขายในปี 65 ของ SINGER เกือบ 1 พันล้านบาท (หรือประมาณ 36% ของยอดขายรวม) เป็นการขายสินค้า IT ที่มากจาก J-Mobile นอกจากนี้ JMART (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SINGER) พยายามจะผลักดันให้ SINGER เป็นกลไกหลักสำหรับธุรกิจการปล่อยขยายสินเชื่อผู้บริโภคบนฐานลูกค้าของ BRR

ทั้งนี้ การเปลี่ยนตัวผู้บริหารรอบล่าสุดนี้อาจจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าธุรกิจในอนาคตของ SINGER จะเน้นไปหาสินค้า IT จาก J-Mobile ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สินค้าจะกระจุกตัว และความเสี่ยงด้านการตั้งสำรองเพราะการปล่อยกู้เพื่อซื้อสินค้า IT มีอัตราการผิดนัดชำระหนี้สูง

การแก้ NPL ทำให้เกิดความกังวลกับค่าใช้จ่ายสำรองฯ และผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ NPL ที่แท้จริงของ SINGER พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4/65 โดย NPL ratio อยู่ที่ประมาณ 11-12% (หากนับรวม NPA ที่บันทึกเป็นสินค้าคงคลังด้วย) ทั้งนี้ เนื่องจากยังมีการจัดชั้นลูกค้าที่อ่อนไหวบางรายเป็นสินเชื่อที่ปกติ (performing loan) อยู่ในไตรมาส 4/65 แต่เราคิดว่าลูกค้าเหล่านี้อาจจะกลายมาเป็น NPL ในไตรมาส 1/66 และกระทบค่าใช้จ่ายสำรองฯ และค่าใช่จ่ายการด้อยค่าของสินทรัพย์ก้อนใหญ่ ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐานค่าใช้จ่ายสำรองฯ ในไตรมาส 1/66 เป็น 8% (จาก 5.6% ในไตรมาส 4/65) และในปี 66 เป็น 6% (จาก 2.5% ในปี 65)

การปรับลดประมาณการกำไรสะท้อนถึง 1.ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 6% และ 4% ในปี 66-67 (จากเดิมที่ 3%, 2.5%) 2.การปรับลดอัตราการเติบโตของยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็น -20%/+10% (จากเดิมที่ -5%, +10%) 3. การปรับลดอัตราการเติบโตขอสินเชื่อเป็น -6%, +5% (จากเดิมที่ -5%, +10%)

ทั้งนี้ เนื่องจากมี NPL เกิดใหม่จำนวนมาก และมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร จึงคิดว่า SINGER น่าจะต้องใช้เวลาสักระยะในการล้างงบดุล และฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคต ใช้ P/E ที่ 15 เท่า อิงประมาณการกำไรเฉลี่ย 2 ปี ทำให้ได้ราคาเป้าหมายที่ 11.60 บาท (ลดลงจาก 24 บาท) ดังนั้น เราจึงปรับลดคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ขาย"


กำลังโหลดความคิดเห็น