นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารยังคงประมาณการจีดีพีไทยปี 2566 ที่ 3.7% โดยรับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคเป็นหลัก ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มชะลอลงหลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหมดไป และภาคการส่งออกยังคงชะลอตัว ส่วนปัจจัยการเมืองไทยหรือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังไม่มีผลต่อการพิจารณา เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่าจะทำได้ตามนโยบายที่ประกาศหรือไม่ ไม่ว่าจะการปฏิรูป การปรับขึ้นค่าแรง หรืออื่นๆ คงต้องรอไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ทันเห็นผลภายในปีนี้ก็ได้ ดังนั้น ในช่วงที่เหลือของปีภาคการท่องเที่ยวจะยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักอยู่
"นโยบายของพรรคการเมืองที่ออกมานั้น ขณะนี้ยังประเมินถึงผลกระทบอย่างชัดเจนไม่ได้ เพราะยังไม่แน่ชัดว่าจะทำได้ตามที่ประกาศไว้ แต่มีการตั้งข้อสังเกตอยู่กรณีการปรับขึ้นค่าแรง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จับตาอยู่ เนื่องจากหากเกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อเงินเฟ้อ รวมทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วย ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลหากยืดเยื้อเกินกว่ากำหนดไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากยังมีรัฐบาลรักษาการที่ยังสามารถเดินหน้านโยบายไปได้อยู่ แต่ในอีกกรณีคือมีเหตุการณ์การประท้วงหรือก่อเหตุรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวที่จะกลับมา High Season ในช่วงไตรมาส 4 อันนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย"
สำหรับเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงหลังการเลือกตั้งนั้นน่าจะมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ ความกังวลในการจัดตั้งรัฐบาลไทยที่ยังมีความไม่แน่นอน และประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ยังตกลงกันไม่ได้ รวมถึงมุมมองนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนกันยายน อาจจะยืดระยะออกไปหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่ยังออกมาดี และเฟดเองออกให้ความเห็นถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ยังอาจจะมีความจำเป็นอยู่ ซึ่งทำให้บอนด์ยิลด์สูง และเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยมองกรอบเงินบาทในช่วง 1 เดือนข้างหน้าที่ 33.80-35.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และคงคาดการณ์เงินบาท ณ สิ้นปีนี้ที่ 33.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
"สาเหตุที่บาทอ่อนในช่วงนี้มาจากแรงเทขายหุ้นของนักลงทุนซึ่งนับจากต้นปีถึง 22 พ.ค.ที่ผ่านมา มียอดแล้ว 81,000 ล้านบาท ไม่นับตราสารหนี้ ขณะที่ดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงสั้นๆ นี้ เราคงให้น้ำหนักที่ท่าทีของเฟดและการตกลงเรื่องเพดานหนี้สหรัฐฯ ก่อน เพราะการจัดตั้งรัฐบาลกว่ามีการสรุปได้คงเป็นช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งในระหว่างทางจะทำให้เกิดความผันผวนไปตามปัจจัยแต่ละช่วง โดยในการประชุมเฟดครั้งต่อไปในเดือนมิถุนายน คาดการณ์เฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อน"