xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.60 จับตาฟันด์โฟลว์ต่างชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24 พ.ค.) ที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.70 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่องทดสอบโซนแนวต้านสำคัญใหม่ใกล้ระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก่อนที่เงินบาทจะค่อยๆ พลิกกลับมาแข็งค่าตามโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำรีบาวนด์ขึ้นไม่น้อยกว่า +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนเงินดอลลาร์แกว่งตัว sideways

ทั้งนี้ เรามองว่าการพลิกกลับมาแข็งค่าของเงินบาทดังกล่าวอาจได้แรงหนุนจากการขายทำกำไรสถานะ Short THB ของผู้เล่นบางส่วน และคาดว่าการทดสอบแนวต้านใหม่ของเงินบาท (ซึ่งเป็นแนวต้าน Fibonacci retracement เช่นกัน) อาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเริ่มกลับมา Long THB บ้าง

เรามองว่า การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมาอาจดำเนินต่อไปได้บ้าง แต่การแข็งค่าอาจเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าจะเริ่มเห็นการกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ โดยเราประเมินว่า โซนแนวต้านจะเป็นแนวต้านใหม่ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ที่เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุไปได้ ขณะที่โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 34.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่าผู้นำเข้าบางส่วนอาจมีความกังวลหลังเงินบาทอ่อนค่าเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้นำเข้าอาจทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง ซึ่งจะชะลอโมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทได้

ความไม่แน่นอนของการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง โดยดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.12% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่างดัชนี PMI ภาคการบริการในเดือนพฤษภาคมที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.1 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ดีกว่าคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนคลายความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาลดลง -0.60% หลังการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ยังไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -6.5% LVMH -5.0%) ท่ามกลางความกังวลว่าหากเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนไม่ได้ดีตามคาด อาจกดดันให้ผลประกอบการของบรรดาหุ้นสินค้าแบรนด์เนมไม่ได้เติบโตแข็งแกร่งอย่างที่สะท้อนมาในราคาหุ้นล่าสุด (Hermes P/E 58.9x LVMH P/E 29.8x)

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดหวังว่าเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยได้นานกว่าคาดหรืออาจจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง จะช่วยหนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.75% แต่ทว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กอปรกับแรงซื้อ buy on dip ของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.70% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ระยะยาวอาจเป็นไปอย่างจำกัดในช่วงนี้

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้างตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด แต่ทว่า การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงถูกจำกัดอยู่ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการเจรจาขยายเพดานหนี้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเน้นขายทำกำไร ในจังหวะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น (สอดคล้องกับมุมมองที่เราเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า) โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 103.5 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ท่ามกลางความกังวลการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) รีบาวนด์ขึ้นต่อเนื่อง 1,978 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนที่ได้เข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวอาจเริ่มทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน โดยเรามองว่า หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 8.1% ตามที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ แม้ว่าจะเป็นการชะลอลงจากระดับ 10.1% ในเดือนก่อนหน้า แต่อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงดังกล่าว อาจหนุนให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจนแตะระดับ 4.75% ได้ในปีนี้

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (Ifo Business Climate) ซึ่งมักจะเป็นข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจได้ดี

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ความคืบหน้าของการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
กำลังโหลดความคิดเห็น