ผู้ถือหุ้นรายย่อยบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS จำนวนกว่า 4 หมื่นราย กำลังระส่ำระสาย หลังราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนัก สร้างจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับจากเข้าจดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2537 หลังถูกแขวนป้าย C
ตลาดหลักทรัพย์สั่งแขวนป้าย C หุ้น JAS ก่อนเปิดซื้อขายวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากส่วนผู้ถือหุ้นมีค่าต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และหุ้นถูกกำหนดให้ต้องซื้อด้วยเงินสด หรือบัญชีแคชบาลานซ์
สิ้นไตรมาสแรกปี 2566 หุ้น JAS มีทุนจดทะเบียน 4,296.41 ล้านบาท แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นลดเหลือ 1,577.16 ล้านบาท
หุ้น JAS ถูกเทขายทันทีหลังเปิดการซื้อขายจนปิดการซื้อขาย ราคาหุ้นลงต่ำสุดติดพื้น 30% หรือติดฟลอร์ โดยปิดที่ 1.25 บาท ลดลง 53 สตางค์ หรือลดลง 29.78% มูลค่าซื้อขาย 279.13 ล้านบาท
ผู้บริหาร JAS ออกคำชี้แจงผ่านสื่อทันที โดยระบุว่า การที่ส่วนผู้ถือหุ้นลดต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนจนถูกติดเรื่องหมายซี เนื่องจากรายได้จากธุรกิจบรอดแบรนด์อินเทอร์เน็ตลดลงจากการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ขณะที่ค่าใช้จ่ายปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนั้น ธุรกรรมการจำหน่ายเงินลงทุนใน บริษัท ทริปเปิลทีบรอดแบรนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB มูลค่า 32,420 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยคาดว่าจะได้รับอนุมัติภายในเดือนนี้ ซึ่งบริษัทฯ สามารถบันทึกกำไร ส่งผลให้สภาพทางการเงิน JAS เข้มแข็งขึ้น
JAS ส่งสัญญาณว่าปัญหามูลค่าผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน และเครื่องหมาย C อาจจบสิ้นลงเมื่อได้รับโอนรายได้จากการขาย 3BB แต่นักลงทุนไม่ได้ตอบรับสัญญาณที่ JAS ส่งมา และเทขายหุ้นจนราคาติดฟลอร์สนิท
นักลงทุนที่เข้าไปเล่นหุ้นกลุ่ม JAS เจ็บตัวกันหนักโดยถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึงหุ้นจัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS และหุ้นบริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO
JTS เคยเป็นหุ้นมหัศจรรย์ ราคาถูกลากขึ้นจาก 1.93 บาท เมื่อสิ้นปี 2563 และขึ้นไปสูงสุดที่ 594 บาท เมื่อกลางปี 2565 หรือปรับตัวขึ้นกว่า 30,000% ภายในเวลาปีเศษ ก่อนจะถูกถล่มขายจนราคาร่วงลงอย่างหนัก และปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมาที่ 28.75 บาท
JTS มีผู้ถือหุ้นรายย่อย 11,045 ราย และไม่น่าจะเหลือผู้ถือหุ้นรายย่อยคนใดที่มีกำไรจากหุ้นตัวนี้ เพราะนักลงทุนที่มีกำไรน่าจะขายหุ้นทิ้งไปหมดแล้ว
ส่วน MONO ร้อนขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกับ JAS โดยวันที่ 7 กรกฎาคม 2556 ราคาเคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 6.73 สตางค์ ร่วมทรุดลงต่อเนื่อง จนล่าสุดปิดที่ 1.21 บาท มีผู้ถือหุ้นรายย่อยติดค้างบนดอยจำนวน 11,680 ราย
และ JAS เคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 9.60 บาท เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ก่อนจะซึมลง จนล่าสุดปิดที่ 1.25 บาท โดยไม่รู้ชะตากรรมหุ้นตัวนี้จะทรุดหนักต่อไปหรือไม่
นักลงทุนที่หลงเข้าไปเล่นหุ้นกลุ่ม JAS รวมแล้วกว่าครึ่งแสนราย และส่วนใหญ่เอาเงินไปเซ่นสังเวย ขาดทุนกันป่นปี้ โดยนักลงทุนที่ติดหุ้นบนยอดดอย หรือติดหุ้นราคาสูงสุดอาจต้องแปลงสภาพเป็นนักลงทุนข้ามชาติ
ซื้อหุ้นกลุ่ม JAS ไว้ชาตินี้ อาจต้องรอขายถอนทุนคืนชาติหน้า เพราะเจ้ามือน่าจะปิดฉาก ปิดเกมสร้างข่าวลากหุ้นกลุ่ม JAS อย่างสมบูรณ์แล้ว