บมจ.แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท (ADVICE) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 170 ล้าน หุ้น คิดเป็น 27.42% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจ (Sector) กลุ่มธุรกิจบริการ (Service)/พาณิชย์ โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อ 1.การลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายสาขาของบริษัทฯ และการปรับปรุงสาขาเดิมของบริษัทฯ 2.ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน 3.เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดซื้อสินค้า 4.ลงทุนปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
บริษัทเป็นผู้จำหน่ายสินค้าไอทีรายใหญ่ของประเทศ ประกอบธุรกิจจำหน่ายปลีก-ส่ง สินค้าไอทีภายใต้ชื่อร้าน "Advice" ซึ่งเป็นร้านค้าในรูปแบบไอทีซูเปอร์สโตร์ จำหน่ายสินค้าไอทีหลากหลาย เช่น คอมพิวเตอร์ประกอบ (D.I.Y) คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Notebook) คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป (Desktop) และอุปกรณ์เสริมต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจำหน่ายสินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์ Internet of Things (IoT) ไปจนถึงสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน นอกจากการจำหน่ายสินค้าไอที บริษัทฯ ยังให้บริการรับเคลมสินค้าที่มีปัญหาให้ผู้ผลิต รวมถึงให้บริการซ่อมบำรุงและตรวจเช็กอุปกรณ์ไอทีแบบครบวงจร
บริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1.ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ผ่านสาขา
2.ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ผ่านออนไลน์
3.ธุรกิจค้าส่งสินค้าให้แก่ตัวแทนจำหน่ายและสาขาแฟรนไชส์
4.ธุรกิจลูกค้าองค์กร
5.ธุรกิจบริการ
ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 บริษัทมีสาขา "Advice" รวมทั้งสิ้น 337 สาขา ประกอบด้วย สาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง 112 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดสำคัญต่างๆ และสาขาแฟรนไชส์ (Franchise) อีก 225 แห่ง กระจายอยู่ในแหล่งชุมชนในอำเภอและจังหวัดต่างๆ ครอบคลุม 75 จังหวัดในทั่วประเทศ รวมถึงใน สปป.ลาว บริษัทมีนโยบายลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันบริษัทถือเป็นผู้จำหน่ายสินค้าไอทีที่มีหน้าร้านครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
บริษัทยังจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ www.advice.co.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์หลัก ถือเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซสายไอทีอันดับ 1 ที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากที่สุดของประเทศ และต่อมาบริษัทขยายสู่การวางจำหน่ายในอีมาร์เกตเพลสต่างๆ ที่มีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ เช่น Shopee และ Lazada เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งมีพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางดังกล่าวสูง บริษัทมีนโยบายพัฒนารูปแบบการขายในแต่ละช่องทาง ส่งผลให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันบริษัทถือเป็นหนึ่งในสี่ (BIG4) ของบริษัทผู้ค้าปลีกสินค้าไอทีรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
นอกจากนั้น บริษัทยังให้บริการรับเคลมสินค้าที่มีปัญหาให้ผู้ผลิต รวมถึงให้บริการซ่อมบำรุงและตรวจเช็กอุปกรณ์ไอทีแบบครบวงจร โดยบริษัทได้รับการแต่งตั้งจากผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ชั้นนำต่างๆ เช่น Acer, HP และ Brother ให้เป็นศูนย์บริการและรับซ่อมสินค้าอย่างเป็นทางการ จึงถือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นเพียงรายเดียวที่ให้บริการรับซ่อมสินค้าไอทีแบบครบวงจรครอบคลุมสินค้าไอทีเกือบทุกประเภท ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ซื้อจากบริษัทฯ สินค้าที่ซื้อจากแหล่งอื่น สินค้าที่อยู่ในการประกัน และสินค้าที่อยู่นอกการรับประกัน พร้อมด้วยบริการเสริมอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น บริการรับส่งสินค้าจากที่บ้านของลูกค้า เป็นต้น
บริษัทมีรายได้ส่วนใหญ่กว่า 65% จากธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที และรายได้อีกประมาณ 35% มาจากการค้าส่งสินค้าไอทีให้แก่สาขาแฟรนไชส์และตัวแทนจำหน่ายสินค้าในจังหวัดต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากธุรกิจบริการ
เป้าหมายในการดำเนินธุรกิจจะเพิ่มยอดขายสินค้าควบคู่กับอัตราการทำกำไร ในช่วง 3 ปีข้างหน้าตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มยอดขายสู่ 20,000 ล้านบาท และรักษาอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี โดยคาดว่าจะมีหน้าร้าน Advice รวมทั้งสิ้น 420 แห่ง ผ่านการเปิดสาขาของบริษัทเพิ่มอีก 35-40 แห่ง ในทำเลที่มีศักยภาพ เน้นพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นหลัก พร้อมขยายสาขาแฟรนไชส์อีก 30-50 แห่ง
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 310,000,000 บาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 225,000,000 บาท โครงสร้างผู้ถือหุ้นหลัก ณ วันที่ 31 มี.ค.66 มีนายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ถือหุ้น 166,280,000 หุ้น คิดเป็น 36.95% ภายหลัง IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 26.82% บริษัท ไทย จอยเวนเจอร์ กรุ๊ปส์ จำกัด (TJV) 160,000,000 หรือคิดเป็น 35.56% จะลดเหลือ 25.80% นายอมร ทาทอง 71,280,000 หุ้น หรือ 15.84% จะลดเหลือ 11.50% และ นายปรีชา สินอาภา 21,833,333 หุ้น หรือ 4.85% จะลดเหลือ 3.52%
ทั้งนี้ TJV มีผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกันกับบริษัทฯ ได้แก่ นายณัฏฐ์ 33.20% นายอมร 33.20% นายปรีชา 31.67% รวมทั้ง นายปรเมษฐ์ เอกอุ่น 0.60% นายบัญชา วงศ์หลีกภัย 0.40% นายกัณม์ ภูธณลักษณ์ 0.33% นายศรัณย์ ปัญหา 0.30% และนายเอกชัย ระวีแสงสูรย์ 0.30%
ผลประกอบการปี 62-65 บริษัทมีรายได้รวม 11,387.9 ล้านบาท 12,544.6 ล้านบาท 14,310.2 ล้านบาท และ 14,395.0 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิ 134.0 ล้านบาท 233.8 ล้านบาท 430.2 ล้านบาท และ 205.7 ล้านบาท ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิ 1.18% 1.86% 3.01% และ 1.43% ตามลำดับ
ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,586.2 ล้านบาท หนี้สินรวม 2,275.4 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 310.8 ล้านบาท ตามลำดับ
บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี