หลังจากมูลค่าตลาดตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุดเพิ่มขึ้นถึง 62.7% แต่ดูเหมือนตอนนี้บิตคอยน์จะหยุดตั้งหลักที่ 28,000 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ยังมองว่า เนื่องจากการพุ่งขึ้นของคริปโตขับเคลื่อนจากความกลัวของตลาดเกี่ยวกับการล่มสลายเชิงระบบของภาคการธนาคาร ดังนั้น แนวโน้มขาขึ้นนี้จึงอาจเป็นกับดักกระทิงที่หลอกล่อให้นักลงทุนพลาดท่าเสียทรัพย์
เงินดิจิตอลที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกสกุลนี้เคลื่อนไหวขึ้น-ลงอยู่แถว 28,000 ดอลลาร์ โดยช่วง 3 สัปดาห์ล่าสุด บิตคอยน์ (BTC) เทรดอยู่ภายในช่วง 15% ของเส้นแนวโน้มสำคัญ ซึ่งหมายถึงราคาเฉลี่ยในช่วง 30 วันที่ผ่านมา และเทรดที่ 28,230 ดอลลาร์เมื่อเวลา 10.35 น. วันพุธ (5) ในนิวยอร์ก
บิตคอยน์ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันทำราคาจาก 20,000 ดอลลาร์ มาเป็น 28,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางข่าวแบงก์ใหญ่หลายแห่งในอเมริกาล้มเมื่อเดือนที่แล้ว และปัจจัยบวกของสถานการณ์นี้คือ วิกฤตการธนาคารที่เขย่าตลาดทั่วโลกทำให้นักลงทุนจำนวนมากขึ้นหันไปหาเงินดิจิตอลเนื่องจากเชื่อว่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ หลายคนยังมองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์หลบภัย
ทิม เดรเปอร์ มหาเศรษฐีและนักลงทุนชื่อดัง ยังคงแนะนำว่า บิตคอยน์ช่วยป้องกันความเสี่ยงของระบบการธนาคารที่มีกฎระเบียบควบคุมเข้มงวดเกินไป และความเสี่ยงจากรัฐบาลที่ออกกฎระเบียบมาควบคุมมากเกินไป เขายังแนะนำให้ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ทั้งหมดเปิดบัญชีเงินเดือนบิตคอยน์อย่างน้อย 2 บัญชีเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความล้มเหลวของรัฐบาลหรือธนาคาร
ด้านเคธี วูด ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (CEO) อาร์ก อินเวสเตอร์ คาดว่า ราคาบิตคอยน์จะพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด ถ้าวิกฤตการธนาคารลุกลามและทำให้ตลาดตื่นตระหนก และสำทับว่า บิตคอยน์ขณะนี้รับบทเครื่องเก็บรักษามูลค่า ซึ่งถ้าความเชื่อมั่นในระบบการเงินโลกพังทลาย คนจำนวนมากขึ้นจะหันมาหาคริปโตเพื่อช่วยเก็บรักษามูลค่าแทน
อย่างไรก็ตาม การที่ขาขึ้นของ BTC สะดุดไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์สำหรับอยา แคนโตโรวิช อดีตสมาชิกทีมผู้ก่อตั้งฟัลคอนเอ็กซ์ แพลตฟอร์มเทรดคริปโตสำหรับนักลงทุนประเภทสถาบัน เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้บิตคอยน์พุ่งขึ้นในเดือนที่ผ่านมาคือเรื่องของศรัทธาล้วนๆ แต่ไม่มีการดึงดูดผู้ใช้ใหม่ เขายังบอกว่า ความปั่นป่วนในภาคการเงินกระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยซื้อบิตคอยน์เพิ่ม ขณะที่นักลงทุนประเภทสถาบันเลือกหลบภัยในผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ETF หรือกองทุนรวมแทน
ขณะเดียวกัน นักเก็งกำไรยังหันไปสนใจโทเคนสกุลอื่นๆ เช่น โดชคอยน์ที่ราคาพุ่งขึ้นถึง 30% ในสัปดาห์นี้หลังจากทวิตเตอร์เปลี่ยนโลโก้จากนกเป็นมีมชิบะอินุ
สิ่งอื่นๆ ที่หันเหความสนใจของนักลงทุนยังรวมถึง NFT ธีมโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้ถูกฟ้องคดีอาญาเมื่อวันอังคาร (4)
บลูมเบิร์กรายงานว่า สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายในตลาดคริปโตแห้งเหือดลง เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาเล่นช่วงที่โควิดระบาด เลือกรอดูสถานการณ์อยู่นอกตลาดภายหลังเรื่องอื้อฉาวและการล้มละลายในปี 2022 ซึ่งรวมถึงกรณี FTX
คริส นิวเฮาส์ เทรดเดอร์ตราสารอนุพันธ์ของจีเอสอาร์ที่ลงทุนในคริปโต บอกว่า ปกติแล้วตลาดคริปโตถูกขับเคลื่อนโดยข้อมูลระยะสั้นและเทรดเดอร์ที่ติดตามเทรนด์ต่างๆ สำหรับตอนนี้นักลงทุนจำนวนมากอาจรอฟังข่าวที่กำลังจะออกมาในอีกไม่กี่วันก่อนที่จะตัดสินใจต่อไป
นักวิเคราะห์ยังตั้งข้อสังเกตว่า วิกฤตการธนาคารล่าสุดที่ถือเป็นครั้งแรกในยุคโซเชียลมีเดียเป็น “ภาวะติดเชื้อทางความเชื่อมั่น” มากกว่าจะเป็น “ภาวะติดเชื้อทางการเงิน” และเนื่องจากการพุ่งขึ้นของคริปโตขับเคลื่อนโดยความกลัวของตลาดเกี่ยวกับการล่มสลายเชิงระบบของภาคการธนาคาร แนวโน้มราคาขาขึ้นนี้จึงอาจเป็นกับดักกระทิง ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่นักลงทุนซื้อสินทรัพย์โดยเชื่อว่าราคาจะยังเพิ่มขึ้นต่อไปแต่กลับกลายเป็นราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ความต้องการสินทรัพย์หลบภัยปลอดความเสี่ยงยังเพิ่มขึ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอย