xs
xsm
sm
md
lg

GBS มอง SET เม.ย. Sideway กรอบ 1,590-1,640 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในเดือนเมษายน 2566 คาดว่าแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway เนื่องจากติดวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ โดยมีแรงหนุนจากตัวเลข PCE ของสหรัฐฯ ชะลอตัว และกระแสคาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เดือนพฤษภาคมนี้

ประกอบกับมีประเด็นบวกจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ได้แรงหนุนจากมติโอเปกพลัสที่เหนือความคาดหมายของตลาดในการประกาศปรับลดการผลิต ขณะที่ปริมาณการซื้อขายที่เบาบางในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์เป็นเป็นปัจจัยลบกดดันตลาด คาดกรอบดัชนี 1,590-1,640 จุด

ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังมีอยู่ สหรัฐฯ ได้รับข้อมูลใหม่ว่ารัสเซียเตรียมจัดหาอาวุธเพิ่มเติมจากเกาหลีเหนือ โดยแลกเปลี่ยนกับการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่เกาหลีเหนือ ส่วนจีนทบทวนด้านความปลอดภัยของชิปคอมพิวเตอร์ที่นำเข้าจากไมครอน เทคโนโลยี อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความขัดแย้งเกี่ยวกับชิปคอมพิวเตอร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้งทางประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัสเซียปล่อยตัวนายอีแวน เกิร์ชโควิช ผู้สื่อข่าวของวอลล์สตรีท เจอร์นัล หลังถูกจับกุมในข้อหาจารกรรม

ด้านวิกฤตแบงก์สหรัฐฯ สร้างความผันผวนต่อสภาพคล่องของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ส่งผลให้ยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ ทั้งหมดลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.65 อย่างไรก็ดี ยอดเงินฝากเริ่มมีเสถียรภาพสำหรับธนาคารขนาดเล็กซึ่งมีความเปราะบางต่อการแห่ถอนเงินฝากหลังการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) ทั้งนี้ ธนาคารไทยภายใต้การกำกับดูแลที่ใกล้ชิดของธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีสภาพคล่องและเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ได้รับผลกระทบจากวิกฤตธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรปในกรอบจำกัด

ส่วนสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) คาดว่าการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 1/66 จะหดตัวราว 10%YoY เนื่องจากเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/65 การส่งออกของไทยมีการเติบโตค่อนข้างสูง และคาดว่าการส่งออกในไตรมาส 2/66 อาจจะยังไม่ฟื้นตัวโดยจะยังหดตัวราว 5% แต่หลังจากนั้นไปแล้วการส่งออกของไทยจะขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า เช่น จีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป เป็นสำคัญ


นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาในประเทศ เช่น วันที่ 12 เม.ย. ธปท. เผยแพร่รายงานการประชุม กนง.ฉบับย่อและรายงานนโยบายการเงิน สัปดาห์ที่ 4 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า สัปดาห์ที่ 5 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) แถลงดัชนีอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค วันที่ 18-21 เม.ย. หุ้นกลุ่มธนาคารส่งงบการเงินงวดไตรมาส 1/66 และเหตุการณ์ก่อนเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ วันนี้ (5 เม.ย.) ทางอียู รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน มี.ค. สหรัฐฯ รายงานตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน มี.ค. ดุลการค้าเดือน ก.พ. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน มี.ค. ดัชนีภาคบริการเดือน มี.ค. และสต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์ วันที่ 6 เม.ย. จีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือน มี.ค. สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ วันที่ 7 เม.ย. สหรัฐฯ รายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มี.ค. ทั้งนี้ในเดือน เม.ย.ไม่มีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และธนาคารกลางยุโรป (ECB)

ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากกลุ่มโอเปกพลัสลดกำลังการผลิต ได้แก่ หุ้น PTTEP, TOP, PTT, SPRC และ BCP

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินภาพรวมราคาทองคำในเดือนเมษายนว่า ยังคงต้องจับตาประกาศตัวเลขภาคแรงงานและดัชนีเงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดตัวเลขดังกล่าวอาจอ่อนตัวลงตามต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นสู่ระดับ 4.75-5.00% อาจกดดันภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่ SPDR มีสัญญาณบวกต่อเนื่อง ทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้นเป็นแรงหนุนทองคำ

ฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำมีโอกาสทรงตัวในระดับสูงต่อไป หลัง FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในการประชุม FOMC เดือนพฤษภาคมนี้ มองว่าตลาดผ่อนคลายมากขึ้น โดยคาดว่าในระหว่างสัปดาห์หากราคาทองคำย่อตัวไม่หลุดแนวรับ 1.950$/oz เป็นจังหวะซื้อเพื่อไปขายทำกำไรที่แนวต้าน 2,000-2,030 เหรียญ/ออนซ์


กำลังโหลดความคิดเห็น