xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.13 แนวโน้มแข็งค่าตามฟันด์โฟลว์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (4 เม.ย.) ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาททยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ

เราประเมินว่า ในระหว่างวันนี้ค่าเงินบาทอาจยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้างจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้น หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (นักลงทุนต่างชาติได้กลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิกว่า +1.3 พันล้านบาท ในวันก่อนหน้า) นอกจากนี้ โฟลว์ขายทำกำไรทองคำอาจพอช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงินในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ หรือ Job Openings ของสหรัฐฯ (รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ) เพราะหากข้อมูลการจ้างงานไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานชะลอตัวลงแรง หรือรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใส เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวนด์แข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างของหุ้นแต่ละกลุ่ม โดยหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นแรง (Exxon Mobil +5.9% Chevron +4.2%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Tesla -6.2% Amazon -0.85%) เผชิญแรงขายทำกำไร หลังจากผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลว่า หากราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงได้ยาก จนทำให้เฟดยังสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อ หรือคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับสูงได้นานกว่าคาด (จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดเริ่มให้โอกาส 55% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.25% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม) การเคลื่อนไหวที่สวนทางกันของหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +0.37% ขณะที่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลง -0.27%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อลงเล็กน้อย -0.03% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลว่าการปรับตัวขึ้นแรงของราคาพลังงานอาจยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงยากขึ้น หรืออาจเร่งตัวขึ้น ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ โดยมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เผชิญแรงขายทำกำไร (ASML -1.2% Kering -1.1%) ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (TotalEnergies +5.9% BP +4.3%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ

ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะเริ่มกังวลว่าการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงช้า และอาจกดดันให้บรรดาธนาคารหลักเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ ซึ่งได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (รวมถึงบอนด์ยิลด์ 10 ปี ในหลายประเทศ) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3.55% แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนมีนาคม ที่ออกมาแย่กว่าคาดพอสมควร ก็พลิกกลับมาทำให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 3.41% ทั้งนี้ เราคงมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงดูดีอยู่ และหากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนภาพการจ้างงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว อาจทำให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ซึ่งผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะเพิ่มสถานะถือครองบอนด์ ในจังหวะที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้น (Buy on Dip)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 102 จุด หลังผู้เล่นในตลาดยังคงทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ลงตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด (โดยเฉพาะฝั่งตลาดเอเชีย) นอกจากนี้ รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตที่ออกมาแย่กว่าคาดได้กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเช่นกัน ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ สามารถช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวอาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) เพื่อประเมินภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ว่าจะยังคงตึงตัวมากขนาดไหน โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ยอดตำแหน่งงานเปิดรับอาจลดลงบ้างสู่ระดับ 10.4 ล้านตำแหน่ง ตามการปรับแผนการจ้างงานของหลายบริษัท โดยเฉพาะฝั่งบริษัทกลุ่มเทคฯ อย่างไรก็ดี ยอดดังกล่าวอาจสูงกว่ายอดผู้ว่างงานทั้งหมดเกือบ 1.8 เท่า สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงตึงตัวอยู่พอสมควร

ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดมองว่าธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.60% เพื่อรอประเมินผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
กำลังโหลดความคิดเห็น