xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.13 ติดตามเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (31 มี.ค.) ที่ระดับ 34.13 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.35 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาททยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้น ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ อย่างไรก็ดี ในช่วงวันนี้ก่อนที่ตลาดจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังคงถูกจำกัดอยู่ ในลักษณะ Sideways

โดยในระหว่างวัน ค่าเงินบาทอาจยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้างจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้น หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอาจมาจาก 1) รายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึง 2) รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของยูโรโซนที่ชะลอลงชัดเจน ทำให้ผู้เล่นในตลาดลดโอกาส ECB เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแรง กดดันให้เงินยูโรอาจอ่อนค่าลง และหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ (ช่วงประมาณ 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดยหากอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด หรือไม่ได้ชะลอลงชัดเจน (เน้นจับตาการเปลี่ยนแปลงรายเดือน หรือ %m/m) ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยปรับมุมมองว่า เฟดอาจสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ และ/หรือคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน ซึ่งมุมมองดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่วนบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน และการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์ รวมถึงบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง โดยในกรณีนี้เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ PCE ชะลอลงตามคาด หรือชะลอลงมากกว่าคาดอาจกดดันให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง ซึ่งสามารถช่วยหนุนให้ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าทดสอบแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Amazon +1.8% Nvidia +1.5%) หลังบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.55% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย โดย GDP ไตรมาส 4 โต +2.6%q/q เทียบกับตลาดมอง +2.7%q/q ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 198,000 ราย สูงกว่าที่ตลาดคาด 196,000 ราย อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังถูกกดดันจากการย่อตัวลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร (Wells Fargo -1.6% BofA -1.3%) หลังคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เตรียมเสนอมาตรการกำกับดูแลภาคธนาคารสหรัฐฯ ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 เดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อ +1.03% หลังผู้เล่นในตลาดกล้าที่จะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ตามความกังวลปัญหาเสถียรภาพระบบธนาคารสหรัฐฯ และยุโรปที่คลี่คลายลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง (UBS +3.4%) ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวขึ้นต่อได้ (ASML +3.0%) หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของสเปน ในเดือนมีนาคม ชะลอตัวลงมากกว่าคาดสู่ระดับ 3.3% (จาก 6.0% ในเดือนก่อนหน้า) ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยไปมากนัก หากเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนมากขึ้น

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 102.2 จุด หลังผู้เล่นในตลาดยังคงทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ลงตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด และส่วนหนึ่งมาจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ออกมาดีกว่าคาดไปมาก ทั้งนี้ เรามองว่าหากรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจน เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวนด์แข็งค่าขึ้นได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มเชื่อว่าเฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยลงหรือเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อตาม Dot Plot ล่าสุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่า ตลาดจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยง แต่การปรับตัวลดลงของทั้งบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ สามารถช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อลงเล็กน้อยสู่ระดับ 1,996 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวอาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า โมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนกุมภาพันธ์อาจชะลอลงสู่ระดับ +0.4%m/m ตามการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าพลังงานและราคาสินค้าโดยรวม ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ PCE ชะลอลงสู่ระดับ 5.1% อย่างไรก็ดี หากตัดผลของราคาพลังงานและราคาอาหาร โมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE จะอยู่ที่ +0.4%m/m ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ยังคงอยู่ที่ระดับ 4.7% สอดคล้องกับภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคการบริการที่ไม่รวมผลของที่อยู่อาศัย (Core Services Ex. Housing) ชะลอตัวลงช้า อย่างไรก็ดี หากอัตราเงินเฟ้อ PCE และ Core PCE ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้น กอปรกับภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อจากผลกระทบของปัญหาสภาพคล่องในระบบธนาคาร จะช่วยลดความจำเป็นที่เฟดจะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนทะลุระดับ 5.25% แต่ทว่า เฟดอาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25% จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มกลับสู่เป้าหมาย 2% อย่างชัดเจน ซึ่งเรามองว่าภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นพร้อมกับการชะลอตัวลงมากขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจ้างงาน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยและเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ (จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนกันยายน)

ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ชะลอลงสู่ระดับ 7.1% ตามคาดในเดือนมีนาคม อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจสามารถชะลอการขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) โดยตลาดประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องหลังการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคบริการเดือนมีนาคม ที่ระดับ 50.5 จุด และ 54.3 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)
กำลังโหลดความคิดเห็น