JTS แย้มแผนธุรกิจปี 66 เตรียมย้ายเครื่องขุดบิทคอยน์ ซึ่งมีจำนวนกว่า 3,500 เครื่อง และอวดกำลังที่ขุดได้กว่า 500 เหรียญต่อปี ลี้ภัยค่าไฟพุ่งไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งแปรรูปเป็น Global BTC Mining Farm และ Lightning Platform ตลอดจนเป็นศูนย์ข้อมูลให้กับผู้ให้บริการ OTT
นายดุสิต ศรีสง่าโอฬาร กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS เปิดเผยแผนธุรกิจในปี 2566 นี้ว่า เป้าหมายหลักจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การขยาย Datacenter ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของความต้องการทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้กับลูกค้า
“เราเตรียมการที่จะย้ายเหมืองขุดบิทคอยน์จำนวน 3,500 เครื่อง ซึ่งคิดเป็นกำลังขุดที่ 423,000 Terrahash/s จากประเทศไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และด้วยความสามารถของกำลังการขุดนี้ จะทำให้ได้บิทคอยน์ประมาณ 500 เหรียญต่อปี โดยเฉลี่ยในต้นทุนต่อเหรียญที่ถูกลง นอกจากนี้ ยังได้ขยายงานไปยังการพัฒนา Bitcoin & Lightning Platform เพื่อเน้นพัฒนานวัตกรรมทางด้าน Fintech และยกระดับธุรกิจไปสู่ความเป็นสากลระดับโลก”
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา JST ประสบปัญหาโดยเฉพาะต้นทุนค่าไฟฟ้า ที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการย้ายแท่นขุดเหมืองบิทคอยน์ไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะสหรับอเมริกาซึ่งมีศักยภาพและจุดเด่นด้านทรัพยากรต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ต่ำกว่าหากเทียบกับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เราสามารถบริหารจัดการเครื่องขุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับธุรกิจไปสู่ความเป็นเหมืองขุดระดับโลกของอุตสาหกรรมได้
ขณะที่ JTS Singapore ซึ่งให้บริการด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ Cloud AI, Internet of Things (IoT) และ Fintech ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนา Bitcoin & Lightning Platform เพื่อเป็น Enabler ให้กับทุกธุรกิจที่ต้องการรับ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Enterprise, SME หรือรายย่อย ผ่านโครงข่าย Bitcoin Lightning Network (Bitcoin Layer2) ให้สามารถทำงานได้ง่าย เพื่อรองรับธุรกรรมการชำระเงินและซื้อขายถ่ายโอน Bitcoin ไปยังเครือข่ายต่างๆ ได้ทั่วโลก ให้มีความปลอดภัยและรวดเร็วกว่าการใช้ระบบ Mainnet แบบเดิม
"Bitcoin Lightning Network มีจุดเด่นคือนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้สะดวกรองรับในหลากหลาย Feature ทั้ง BTC Wallet, Saving, Point of Sale (POS) และ Back Office, Report & Analytics, Point-Reward & Membership ซึ่งแพลตฟอร์มนี้มีจุดเด่นด้านการชําระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย อีกทั้งสนับสนุน Bitcoin Ecosystem ในการนำมาใช้งานในภาคธุรกิจและชีวิตประจำวันได้ ส่วนบริษัท จัสเทล เนทเวิร์ค จำกัด (Jastel) ซึ่งเป็นบริษัทภายในกลุ่มบริษัท JTS จะเน้นไปในด้าน การขยายธุรกิจ Data Center เพื่อรองรับความต้องการใช้งานข้อมูลดิจิทัลของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นทั้ง OTT และ Content จากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเตรียมที่จะหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่กับผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไข โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการให้บริการด้าน AI Platform Service, Cloud Data Warehouse, Industrial IoT, Serverless Application Center, Enterprise Application ซึ่งจากความร่วมมือนี้ จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับกลุ่มบริษัท JTS ตอบสนองความต้องการด้านโซลูชั่น และตอบรับความต้องการนวัตกรรมใหม่ของลูกค้า" นายดุสิต กล่าวทิ้งท้าย
