"ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์" โชว์ผลงานปี 65 รายได้โต 13.56% กำไรสุทธิ 236.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.69% รับอานิสงส์ยอดขายทั้งในประเทศ และต่างประเทศโตต่อเนื่อง ธุรกิจ License Business ขยายตลาดไปต่างประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย หนุนการบริโภคกลับมาคึกคัก บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.19 บาท/หุ้น
นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,536.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.56% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,352.91 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายฐานลูกค้าและสินค้าใหม่ หลังสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย และเศรษฐกิจฟื้นตัว ส่งผลให้การบริโภคกลับมาคึกคัก สนับสนุนยอดขายสินค้า 7-Eleven ทั้งในประเทศไทย และในประเทศกัมพูชา รวมทั้งธุรกิจ License Business มีการขยายตลาดไปต่างประเทศ อีกทั้งการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 236.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.69% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 215.62 ล้านบาท
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานในปี 2565 ในอัตรา 0.19 บาท/หุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2566 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2566 ถือเป็น “ปีแห่งการลงทุนสู่ทศวรรษใหม่” (Invest for the next decade) โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% จากปีก่อน โดยในส่วนของกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า Core Menu และ New Menu รวมทั้งออกสินค้าใหม่ร่วมกันในฐานะ Key Strategic Partner ไม่ว่าเป็นเครื่องดื่มเย็นในโถกด (Jet Spray) และเครื่องดื่ม Non Coffee Menu ใน All Café ทั้งในประเทศไทย และ 7-Eleven ในประเทศกัมพูชา
ส่วนกลุ่มธุรกิจ B2C (Non 7-Eleven) บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยาย Brand TRIVA (ทรีว่า) ไซรัปผลไม้เข้มข้นจากธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างความแตกต่างให้ผู้ประกอบการ ร้านค้า คาเฟ่ (Total solution service offering) และสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยเป็นสินค้าที่ต่อยอดการเจริญเติบโตของ TACC ในกลุ่ม B2C
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังโตตามการขยายสาขาของ Lotus’s ทั้งในส่วนของ Lotus’s Hyper และ Lotus’s go fresh และการร่วมมือกับ BON Café ในการพัฒนาเครื่องดื่มเพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มต่างๆ และรุกเข้าตลาดเมล็ดกาแฟ ในส่วนของธุรกิจ License Business บริษัท ฯมีเป้าหมายที่จะเป็น One-Stop-Service และขยายตลาดไปประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อีกทั้งบริษัทฯ ได้เตรียมขยายช่องทาง Online เพื่อขยาย Product Portfolio ตั้งเป้าหมาย 5-10% ทั้งในส่วนของการขายในประเทศ และต่างประเทศ โดยการเพิ่มยอดขายจากลูกค้ารายเดิม การเสนอสินค้าใหม่ๆ และพัฒนาสินค้าร่วมกัน
ประธานกรรมการบริหาร TACC กล่าวอีกว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่สำคัญของบริษัทฯ ซึ่งเป็นปีที่มุ่งสู่ทศวรรษที่ 3 หรือก้าวสู่ปีที่ 21 โดยพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่ยั่งยืน จะมีในส่วนของแผนการเข้าซื้อกิจการ (M&A) หรือการเป็นพันธมิตรร่วมลงทุน (JV) ซึ่ง TACC ยังคงมองหาบริษัทที่มีศักยภาพเพื่อเข้าร่วมลงทุนเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น