ครม.เคาะขยายเวลาดอกเบี้ย-ผ่อนปรนสินเชื่อบ้านคนไทยประชารัฐเพิ่มอีก 1 ปี พร้อมเบรก 7 โครงการ บ้านคนไทยประชารัฐ สั่งกรมธนารักษ์ดึงที่ดินราชพัสดที่รองรับ 7 โครงการที่เหลือไปพัฒนาโครงการอื่นตามนโยบายรัฐแทน
เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการดำเนินโครงการ "บ้านคนไทยประชารัฐ" บนที่ดินราชพัสดุ และมีมติขยายเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (Pre Finance และ Post Finance) ออกไปอีก 1 ปี โดยจะสิ้นสุดวันที่ 2 ม.ค.67 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 3 ม.ค.66 ทั้งนี้ เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยคงเดิม โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กฎหมายอื่นที่จะเกี่ยวข้อง และมติ ครม. อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ จำนวน 2,757 ยูนิตนั้น มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชน 3 กลุ่มได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ประกอบด้วย 1.ผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.ผู้มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน และ 3.ประชาชนทั่วไป โดยโครงการ "บ้านคนไทยประชารัฐ" ประกอบด้วยโครงการบ้านแฝด บ้านแถว อาคารชุดพักอาศัย ที่มีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขายเริ่มต้น 3.5-7 แสนบาท โดยเป็นโครงการผ่อนชำระสู่การเช่าระยะยาว กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเป็นของผู้ได้รับสิทธิอยู่อาศัยและผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการ
สำหรับมาตรการทางด้านสินเชื่อ แบ่งออกเป็น 2 มาตรการประกอบด้วย 1.สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) กำหนดอัตราดอกเบี้ย คือ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1-4 ที่ 2.75% ต่อปี หลังจากนั้น กรณีรายย่อย MRR - 0.75% ต่อปี หรือกรณีสวัสดิการหักเงินเดือน MRR - 1% ต่อปี มีระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี โดยมีการผ่อนปรนการกำหนดอัตราส่วนรายจ่ายในการชำระหนี้ต่อรายต่อเดือน (DSR) หรืออัตราส่วนภาระผ่อนชำระหนี้รวมต่อรายได้สุทธิรวม (DIR) ตามที่ธนาคารกำหนด
2.สินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) กำหนดอัตราดอกเบี้ย คือ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1-3 ที่ 3% ต่อปี หลังจากนั้น MLR - ไม่เกิน 1% ต่อปี ระยะการกู้ ไม่เกิน 5 ปี เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ และ/หรือบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัดที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการ
สำหรับโครงการบ้านคนไทยประชารัฐกระจายอยู่ใน 8 พื้นที่ คือ ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น ลำปาง นครพนม ประจวบคีรีขันธ์ และอุดรธานี โดยได้ดำเนินการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว 1 พื้นที่ คือ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนพื้นที่ใน 7 จังหวัดที่เหลือที่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ที่ประชุม ครม.จึงมีมติให้กรมธนารักษ์นำที่ราชพัสดุที่รองรับการดำเนินโครงการทั้ง 7 ไปพัฒนาโครงการสำคัญอื่นๆ ตามนโยบายของรัฐบาล หรือนำไปบริหารจัดการหรือพัฒนาจัดหาประโยชน์เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ภาครัฐต่อไป
