โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีบริษัทหลักทรัพย์เจพี มอร์แกน จัดอันดับให้หุ้นไทย เป็นหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดในอาเซียน คาดดัชนี SET พุ่งขึ้น 7% แตะระดับสูงสุดที่ 1,800 จุด
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับทราบรายงานกรณีบริษัทหลักทรัพย์เจพี มอร์แกน (JPMorgan Chase & Co.) เปิดเผยข้อมูลในการประชุม J.P.Morgan Thailand Conference ว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในอาเซียน
โดยเจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ดัชนี SET ตลาดหุ้นไทยจะพุ่งขึ้นอีกราว 7% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,800 จุดในปี 2566 ซึ่งเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุน (overweight) ให้กับหุ้นกลุ่มต่อไปนี้ในตลาดหุ้นไทย ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคกลุ่มสินค้าจำเป็น (consumer staples) สินค้าอุปโภคบริโภคกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (consumer discretionary) และกลุ่มเพื่อการดูแลสุขภาพ (healthcare sectors)
ในช่วงเดือน ธ.ค.65 ที่ผ่านมา ดัชนี SET พุ่งขึ้นราว 4% โดยส่วนมากเป็นหุ้นกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ เหตุผลของ JPMorgan’s ที่เห็นว่าหุ้นไทยเป็นหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดในตลาดหุ้นอาเซียนนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย เช่น ด้านการท่องเที่ยว ประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายที่ได้รับความนิยมสูงสุดของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งปัจจัยนี้จะส่งผลบวกต่อบรรยากาศทางธุรกิจในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สำหรับปี 2566 คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนประเทศไทยทั้งสิ้น 26 ล้านคน สูงกว่าที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ที่ 25 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นมูลค่า 39,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ของรัฐบาล ได้กระตุ้นการจับจ่ายสินค้าของประชาชนภายในประเทศ เป็นการเพิ่มจำนวนเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว เนื่องจากราคาพลังงานลดลง ภาคธุรกิจมีกำไรมากขึ้น ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพสูงขึ้น หุ้นไทยเป็นที่น่าจับตามองสำหรับการลงทุน
“นายกรัฐมนตรี ยินดีที่บริษัทหลักทรัพย์เจพี มอร์แกน ที่ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่น่าลงทุนที่สุดในอาเซียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นผลสำเร็จของการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเป็นผลมาจากนโยบายทุกทางที่ดำเนินมาประกอบกันจนเป็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม นักท่องเที่ยว และนักลงทุนให้ความเชื่อมั่น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจของประเทศที่เดินหน้าตามแนวทางการทำงานและนโยบายของรัฐบาลร่วมกัน จนผลงานออกมาเป็นที่ประจักษ์” นายอนุชา กล่าว