"เวิลด์เฟล็กซ์" เปิดแผนยุทธศาสตร์ปี 66 ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% จากปีก่อน ผู้บริหารเผยเน้นกลยุทธ์สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำในตลาดโลก รุกขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดใหม่ในอินเดีย รวมถึงภูมิภาคอื่นของจีนหลังประกาศเปิดประเทศ พร้อมลุยขยายธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์ เร่งเพิ่มกำลังการผลิตปีนี้อีก 10-15% ส่งผลให้กำลังผลิตรวมแตะ 48,000-49,000 ตันต่อปี รองรับยอดขายในอนาคต
นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด(มหาชน) (WFX) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตรายได้ที่ระดับ 5-10% จากปีก่อน โดยยังคงเน้นกลยุทธ์การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยผลักดันให้มาร์จิ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งมีแผนรุกขยายไปในตลาดต่างเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตได้ดี รวมถึงการขยายตลาดไปในภูมิภาคอื่นเพิ่มขึ้นของประเทศจีน หลังจากจีนได้ประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ จะส่งผลให้ความต้องการสินค้าเริ่มกลับมาดีขึ้น
"ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 มีทิศทางชะลอตัวเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย แต่บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตตามแผนงานได้ เป็นผลมาจากการรักษาฐานลูกค้าตลาดเดิม โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย บราซิล รัสเซีย ที่มีการเติบโตสูงและถือเป็นตลาดดาวรุ่งของบริษัทฯ และยังมีแผนขนายตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยร่วมออกบูทในงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ ในต่างประเทศมากขึ้น เช่น บังกลาเทศ ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง นอกจากนี้ ช่วงจีนเปิดประเทศมีแผนเดินสายจะไปเยี่ยมลูกค้าเก่าเพื่อเป็นการรักษาสัมพันธ์ที่ดี ไปพร้อมๆ กับการขยายตลาดในภูมิภาคอื่นในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอีกด้วย” นายณัฐ กล่าว
ทั้งนี้ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าตามแผนบุกตลาดกลุ่มใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากประเทศจีน อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย บังกลาเทศ ประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ รัสเซีย ตุรเคีย อุซเบกิสถาน ประเทศในแถบอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เม็กซิโก โคลอมเบีย เปรู และยังมีแผนที่จะเปิดตลาดใหม่ในกลุ่ม ทวีปแอฟริกา เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตเฟส 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 4,000-5,000 ตันต่อปี หรือประมาณ 10-15% ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นเพิ่มขึ้นเป็น 48,000-49,000 ตันต่อปี