การประกาศซื้อหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO สัดส่วน 65.99% กลายเป็นข่าวดีชิ้นใหญ่ของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP และกระตุ้นให้ราคาหุ้นพุ่งทะยาน จนสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบปี
BCP แจ้งข่าวการซื้อหุ้น ESSO ก่อนเปิดซื้อขายหุ้นเช้าวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งหากซื้อหุ้นจากบริษัท เอ็กซอน โมบิล เอเชียโฮลดิ้ง จำกัด ตามข้อตกลงในวันที่ 30 กันยายน 2565 คาดว่าจะซื้อในราคาหุ้นละ 8.84 บาท โดย BCP ใช้เงินประมาณ 20,188.35 ล้านบาท
และจะต้องจัดทำคำเสนอซื้อ หรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่นอีก 34.01% ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 10,405.65 ล้านบาท รวมการครอบงำกิจการ หรือเทกโอเวอร์ ESSO ครั้งนี้ BCP จะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,594 ล้านบาท
การเปิดข้อตกลงสัญญาการซื้อขายหุ้นระหว่าง BCP กับบริษัท เอ็กซอนฯ เป็นข่าวร้ายสำหรับหุ้น ESSO แต่เป็นข่าวบวกกับหุ้น BCP โดยราคาดีดตัวขึ้นรับทันที
วันพฤหัสบดีหุ้น BCP ปิดที่ 34.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท และวันศุกร์ปิดที่ 37.75 บาท ซึ่งเป็นราคาปิดสูงสุดใหม่ในรอบ 12 เดือน เพิ่มขึ้น 3.25 บาท รวม 2 วัน BCP วิ่งขึ้นมา 6 บาท หรือเพิ่มขึ้น 18.89%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์หลายสำนักประเมินว่า BCP ซื้อหุ้น ESSO ในราคาต้นทุนต่ำ โดยแม้ซื้อสูงกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีของ ESSO ซึ่งอยู่ที่ 8.31 บาท แต่ซื้อต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายในกระดานมาก จึงมีคำแนะนำให้ซื้อ BCP
มุมมองจากนักวิเคราะห์ โบรกเกอร์กว่า 10 แห่ง ส่วนใหญ่แนะให้ซื้อหุ้น BCP หรือถือไว้ โดยประมาณการเป้าหมายราคาหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 40.08 บาท แต่บางโบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนาสิน จำกัด (มหาชน) ตั้งราคาเป้าหมายไว้ที่ 50 บาท
แม้ BCP จะไม่ได้เป็นหุ้นยอดนิยม แต่เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ โดยค่าพี/อี เรโช 3.73 เท่า อัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.82 เท่า ขณะที่จ่ายเงินปันผลมาต่อเนื่อง โดยอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 5.26%
ผลประกอบการในบางปีสะดุดจนถึงขั้นขาดทุนหนัก เช่นปี 2563 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 6,967.07 ล้านบาท แต่ปี 2564 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 7,623.79 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปี 2565 มีกำไรสุทธิ 12,102.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,868.14 ล้านบาท
โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ BCP 4 อันดับแรก ประกอบด้วยนักลงทุนสถาบัน โดยบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ ถือหุ้นสัดส่วน 17.45% ของทุนจดทะเบียน สำนักงานประกันสังคมถือหุ้นในสัดส่วน 14.40%
กองทุนรวมวายุภักดิ์ 1 โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 9.92% และกองทุนรวมวายุภักดิ์ 1 โดย บลจ.กรุงไทย จำกัด ถือหุ้น 9.92% ขณะที่กระทรวงการคลังถือหุ้น 4.76%
ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย BCP มีจำนวนทั้งสิ้น 24,779 ราย ถือหุ้นรวมกันสัดส่วน 64.25% ซึ่งผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหมดถือว่าถูกหวยจากการที่ BCP ประกาศเข้าซื้อหุ้น ESSO กำไรกันถ้วนหน้าเพียงแค่ข้าม 2 คืน
แต่ถ้าดูจากบทวิเคราะห์โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ ผู้ถือหุ้นรายย่อยอาจไม่ต้องรีบร้อนถอยออกจาก BCP แต่อดทนถือต่อไป
เพราะมุมมองหลังเทกโอเวอร์หุ้น ESSO ในราคาที่ไม่แพง หุ้น BCP กลายเป็นหุ้นที่มีอนาคตสดใส เก็บไว้ติดพอร์ตได้