นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทวันนี้ (13 ธ.ค.) เปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.36 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.30 บาท/ดอลลาร์ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงตามคาด ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งเชื่อว่า เฟดอาจจะลดอัตราการขึ้นดอกเบี้ยเหลือเพียง +0.25% ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดให้โอกาสถึง 95% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพียง +0.25% และยังคาดการณ์ว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับแถว 5.00% ก่อนที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 4.50% ได้ในปลายปีนี้ ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดย ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.64% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.34%
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานั้นมาจากปัจจัยหลัก ทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ซึ่งสำหรับในวันนี้ ในภาวะตลาดเปิดรับความเสี่ยง เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง โดยมีโอกาสที่ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 33 บาทต่อดอลลาร์ (หลังจากที่เงินบาทแข็งค่าหลุดระดับ 33.25 บาทต่อดอลลาร์ที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า) ทั้งนี้ เรามองว่าเงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นแรงจนหลุดแนวรับสำคัญ เนื่องจากเราเริ่มเห็นสัญญาณการขายทำกำไรสถานะ Short USDTHB ของผู้เล่นต่างชาติมากขึ้น นอกจากนี้ เราประเมินว่าบรรดาผู้ส่งออกอาจไม่ได้รีบเข้ามาขายเงินดอลลาร์ เพราะส่วนใหญ่อาจรอจังหวะให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง เช่น อ่อนค่าใกล้โซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.63% ตามการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (ASML +1.1% Adyen +1.1%) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +1.4% TotalEnergies +1.1%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบที่ล่าสุดได้แตะระดับ 78.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับน้ำมันดิบ WTI และระดับ 83.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับน้ำมันดิบเบรนท์
ทางด้านตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยิ่งคาดหวังให้เฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวต่อเนื่องสู่ระดับ 3.45% อย่างไรก็ดี เรามองว่าแม้พันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวจะเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และนโยบายการเงินที่ตึงตัวของบรรดาธนาคารกลางหลักอาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุด แต่ทว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงของไทยได้ปรับตัวลงมาพอสมควรนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ ทำให้เรามองว่านักลงทุนควรรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีการปรับตัวขึ้นบ้างในการทยอยเข้าซื้อสะสม มากกว่าการไล่ราคาซื้อในจังหวะบอนด์ยิลด์ปรับตัวลดลง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อล่าสุดได้ชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 102.3 จุด ส่วนบรรดาสกุลเงินหลักต่างปรับตัวแข็งค่าขึ้น เช่น เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.086 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 129 เยนต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านแถว 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ตามที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า และมองว่าโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งหนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจ คือ รายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะสั้นและระยะยาว (Inflation Expectations) โดยหากคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่างปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจในมุมมองที่เชื่อว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงได้จริงและจะทำให้เฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย