ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับตัวเลขประมาณการจีดีพีปี 2566 มาที่กรอบล่างของประมาณการที่ร้อยละ 3.2 จากเดิมที่อยู่ในกรอบร้อยละ 3.2-4.2 แม้ว่าจะปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 จากร้อยละ 2.9 มาที่ร้อยละ 3.2 จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวที่กระทบการส่งออกของไทยยังมีนัยสำคัญ
น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 ซึ่งจะกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนมีแนวโน้มที่จะไม่เติบโต เป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากวิกฤตพลังงานในยุโรปด้วย
ในขณะที่แนวโน้มที่จีนจะเปิดประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีมากขึ้น แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ในจีนหลังจากนี้ ทั้งจำนวนผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต และความเพียงพอของระบบสาธารณสุข เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ที่จีนจะเผชิญการแพร่ระบาดระลอกใหม่ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อเนื่องมายังกิจกรรมทางเศรษฐกิจจีน ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อสถานการณ์การเปิดประเทศของจีนดังกล่าว โดยยังคงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 22 ล้านคน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ไว้ที่ร้อยละ 3.2
"เราปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีไทยในปีนี้ แต่ปรับจีดีพีปีหน้าลงมาที่กรอบล่างที่ 3.2% โดยในปีหน้าเราให้น้ำหนักกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลกระทบเป็นลบต่อการส่งออกของไทยให้ติดลบ ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ทางด้านเฟดอยู่ในโหมดของการพยายามนำพาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปสู่ soft Landing ขณะที่ประเด็นการควบคุมเงินเฟ้อยังเป็นเป้าหมายหลัก ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักๆ ของโลกยังคงมีอยู่แต่ในจังหวะที่ช้าลง จึงยังส่งผลกระทบโดยรวมต่อประเทศต่างๆ อยู่ โดยเราได้ประเมินภาคการส่งออกปีหน้าติดลบ 1.5% ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวคาดการณ์ที่ 22 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวจากปีนี้ที่คาดว่าจะปิดปีที่ 11 ล้านคน"
ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยนั้น มองว่าเฟดคงจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ไปแตะระดับร้อยละ 5.0 หรืออาจสูงกว่านั้น ก่อนที่จะมีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงตลอดทั้งปี 2566 ขณะที่ กนง.มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุมอีก 2 ครั้งๆ ละร้อยละ 0.25 ซึ่งย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังอยู่ในจังหวะขาขึ้นเช่นเดียวกัน ด้านแนวโน้มเงินบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีมีโอกาสแข็งค่าขึ้น หากเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากตลาดรับรู้ความเป็นไปได้ดังกล่าวแล้ว
สำหรับภาคการเงิน ภาพแนวโน้มสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยปี 2566 คาดว่าจะเติบโตในกรอบจำกัด ราวร้อยละ 4.2-5.2 (ค่ากลางร้อยละ 4.7) เทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะโตร้อยละ 5.0 ตามผลของเศรษฐกิจที่เผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง อีกทั้งธุรกิจมีการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง ขณะที่ทิศทางที่ระมัดระวังดังกล่าวยังสะท้อนผ่านมุมมองต่อคุณภาพสินทรัพย์ของระบบธนาคารพาณิชย์ ที่คาดการณ์ว่าสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวม น่าจะยังไม่ได้ดีขึ้นจากปี 2565 นัก โดยเอ็นพีแอล ณ สิ้นปี 2566 คาดว่าจะอยู่ในกรอบร้อยละ 2.55-2.80 เทียบกับร้อยละ 2.65-2.75 ที่คาด ณ สิ้นปี 2565
"การเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในปีหน้ายังคงถูกจำกัดด้วยหลายปัจจัยเสี่ยง ดังนั้น สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มีความสามารถในการรองรับต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นได้จะยังเป็นตัวหลักที่เติบโตได้ดี ขณะที่สินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีและรายย่อยน่าจะเติบโตในกรอบจำกัด เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังกดดันอยู่ เช่นเดียวกับด้านคุณภาพหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์ยังคงต้องมีการติดตามแนวโน้มอย่างใกล้ชิด"
สำหรับแนวโน้มธุรกิจไทยปี 2566 นั้น น.ส.เกวลิน รองกรรมการผู้จัดการ มองว่ายังเผชิญหลายโจทย์รุมเร้า โดยฝั่งต้นทุนจะมีต้นทุนค่าไฟฟ้า ค่าแรง และดอกเบี้ยที่ขยับขึ้น ขณะที่ ฝั่งรายได้จะถูกกระทบจากการที่เศรษฐกิจแกนหลักของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยและเงินบาทแข็งค่าจนฉุดความต้องการสินค้าส่งออกไทย นอกจากนี้ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแต่ละประเภทแตกต่างกัน จึงทำให้การฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจในปี 2566 ยังมีลักษณะเป็น K-Shaped โดยธุรกิจที่นำการฟื้นตัว จะเป็นโรงแรมและร้านอาหาร โรงพยาบาลเอกชน รวมถึงค้าปลีก ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า หรือหดตัว ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และส่งออกในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
นอกเหนือจากนั้นในปี 2566 ธุรกิจไทยจะเห็นโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ชัดขึ้น โดยคู่ค้าของไทยจะเข้มงวดเรื่องเกณฑ์ต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) จากฝั่งยุโรป และความพยายามของไทยที่ทำให้คำนิยามกลางและแนวทางขับเคลื่อน (Green Taxonomy) มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งธุรกิจไทยต้องเร่งศึกษาและปรับตัว เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว