xs
xsm
sm
md
lg

SCB CIO เปิดมุมมองปี 66 มองตราสารหนี้ดาวเด่น จับตาหุ้นจีนหลังเปิดประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




SCB CIO จัดฟอรัมใหญ่ ดึงพันธมิตรแชร์มุมมองความท้าทายเศรษฐกิจและการลงทุนปี 2566 ชี้อัตราดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางลงทุน ควรเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี อยู่ในระดับ Investment Grade เน้นกระแสเงินสดรับ มากกว่าการคาดหวังกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น จับตาตลาดหุ้นจีนหลังเปิดประเทศครึ่งหลังปี 2566 คาดหนุนตลาดหุ้นเอเชียสดใส

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ SCB CIO ได้จัดงาน SCB CIO FORUM 2023 ได้เชิญพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศมาร่วมเปิดมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน ในปี 2566 โดยใน Session แรกบรรยายในหัวข้อ “อวสานยุคดอกเบี้ยต่ำ ความท้าทายและปัจจัยเศรษฐกิจที่รออยู่” โดยมองว่าโลกของการลงทุนในปี 2566 จะเป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับการลงทุน และการจัดงาน SCB CIO FORUM 2023 ครั้งนี้จะทำให้นักลงทุนมองเห็นภาพการลงทุนชัดเจนขึ้น

นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2566 อัตราดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยสำคัญกับการลงทุน ซึ่ง SCB CIO มองว่าในปี 2566 แม้อัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศจะมีแนวโน้มขึ้นช้าลง แต่ยังเป็นขาขึ้นและค้างอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี และเมื่อรวมกับผลของเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง จะทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน และมีความเสี่ยงเกิดเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศด้วย

นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM กล่าวว่า คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะขึ้นดอกเบี้ยที่ 1.75-2.00% เป็นระดับที่เหมาะสม ส่วนประเด็นความไม่แน่นอนสูงยังคงมีอยู่ในปี 2566 มาจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 5% ในไตรมาสแรก แต่มีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อไม่ปรับลงและปริมาณเงินในระบบที่สูง ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงที่เฟดยังปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีกในไตรมาสที่ 2-3

ขณะที่ประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบราคาน้ำมันยังมีอยู่ และมีความขัดแย้งของประเทศอื่นแต่ไม่น่าจะนำไปสู่สงคราม นอกจากนี้ ต้องจับตาประเทศที่มีการเลือกตั้ง เพราะอาจเป็นที่มาของความไม่แน่นอน ส่วนเรื่องเศรษฐกิจถดถอยมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดแบบเบาๆ หรืออาจจะเป็นแค่เศรษฐกิจชะลอตัว

สำหรับปี 2566 มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้น่าสนใจ โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง หากตลาดต่างประเทศเริ่มมีการลดดอกเบี้ย โดยควรมองหาตราสารหนี้ที่คุณภาพดี อยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ความเสี่ยงสูง (High Yield Bond) เพราะหากเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงกว่าที่คาดไว้กลุ่มนี้จะมีปัญหาก่อน และควรหลีกเลี่ยงประเทศในตลาดชายขอบ (Frontier Market) ที่มีหนี้สูง

“การลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนจากการเติบโตมากๆ จะเหนื่อยมากขึ้น โดยหุ้นที่เคยทำผลงานได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตสูงๆ จะไม่ใช่หุ้นที่ทำผลงานได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำ”

นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า เมื่อพิจารณาสินทรัพย์ในปี 2566 มองว่าตราสารหนี้น่าสนใจที่สุด โดยเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง แล้วอาจจะเปลี่ยนเป็นลดดอกเบี้ยก็ได้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นปรับลดลงแรง ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาไม่ยาวอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดี

ทั้งนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันบริษัทสหรัฐฯ กู้ยืมเงินค่อนข้างมาก หนี้ภาคเอกชน มีขนาด 80% ของเศรษฐกิจ และบริษัท 1 ใน 3 ที่กู้เงินเป็นหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า Investment Grade ซึ่งการที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นมา 3.75-4.00% แล้ว ทำให้ต้นทุนการเงินของบริษัทยิ่งเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้บางธุรกิจมีปัญหา เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ ล้มละลาย มากขึ้น และทำให้ตลาดเกิดความผันผวนได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการลงทุนกลุ่มนี้

สำหรับการลงทุนในหุ้น ตลาดที่น่าสนใจ คือ จีน ซึ่งมีมูลค่าหุ้นน่าสนใจ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2566 น่าจะดี และถ้าจีนเปิดเมืองได้จะยิ่งดีขึ้นไปอีก เรียกว่าจีนเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของปี 2566 เลยก็ได้

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด (UOBAM) กล่าวว่า ส่วนสิ่งที่น่าจับตาคือ ในปี 2566 เป็นเหมือนหนังภาคที่ 3 ภาคแรกคือปี 2564 ที่เงินเฟ้อปรับขึ้น ธนาคารกลางยังพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรดี แล้วสุดท้ายเงินเฟ้อก็สูงขึ้นมาจนนโยบายไล่ตามไม่ทัน ส่วนภาคที่ 2 คือ ปี 2565 ที่เจอเรื่องเงินเฟ้อ และมีปริมาณเงินในระบบสูงเป็นของแถม ทำให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยจาก 0.5% ช่วงต้นปี เป็น 4.5% แล้ว ส่วนภาค 3 ที่จะถึงนี้ คือ การเริ่มต้นปีด้วยต้นทุนที่สูงผิดปกติ ในกรณีที่เป็นบริษัท Investment grade ดีๆ ผู้ประกอบการต้องเริ่มระดมทุนด้วยผลตอบแทน 5-6% แต่ถ้าเป็นระดับต่ำกว่านั้นต้องเสนอผลตอบแทนขั้นต่ำ 10% ซึ่งไม่แน่ใจว่าใครอยากระดมทุนใหม่

ในช่วงเวลาแบบนี้มองว่า ตลาดหุ้นคงยังไม่กลับมาเป็นภาวะกระทิงได้ทันทีหลังผ่านจุดต่ำสุด เพราะสิ่งที่ทั่วโลกเจอคือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนค่อยๆ ลดลง แต่ต้นทุนไม่ได้ลดลงมา ขณะที่ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจถดถอยอาจกลายเป็นปัจจัยบวกก็ได้ เพราะทั่วโลกเตรียมตัวรับมือดีขึ้น จึงอาจกลายเป็นโอกาสการลงทุนของคนที่เตรียมพร้อม ส่วนปัจจัยบวกอีกเรื่องคือ จีนที่คาดว่าจะเปิดเมืองได้ในไตรมาสแรก และเปิดประเทศได้สิ้นไตรมาสที่ 2 หรือปลายปี 2566 ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นเวลานั้นหุ้นทั่วโลกจะสดใส โดยเฉพาะเอเชีย

สำหรับสินทรัพย์ที่ควรหลีกเลี่ยงลงทุนในปี 2566 คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงสินค้าชิ้นใหญ่ที่ต้องกู้เงินซื้อ เพราะเริ่มต้นปีด้วยต้นทุนการเงินแตกต่างจากเดิมมาก รวมถึงหลีกเลี่ยงการลงทุนในประเทศเล็กๆ ในตลาดชายขอบที่เศรษฐกิจเปราะบาง ไม่มีผู้สนับสนุน


กำลังโหลดความคิดเห็น