ธปท.เปิดเผยการประชุม "BOT-BIS conference Central Banking Amidst Shifting Ground" ชี้ธนาคารกลางทั่วโลกเผชิญ 3 ความท้าท้าย "เศรษฐการเงินเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว-การทำนโยบายการเงินยากขึ้นจากเงินเฟ้อ-การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ"
วันที่ 2 ธันวาคม 2565 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน "BOT-BIS conference Central Banking Amidst Shifting Ground" ว่าธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินใน 3 มิติหลัก
ได้แก่ (1) บริบทเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ซึ่งต่างจากเดิมที่เงินเฟ้อมักจะถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยด้านอุปสงค์
(2) กรอบความคิดในการดำเนินนโยบายที่ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ ทั้งการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลเงินเฟ้อ และการกำกับดูแลภาคการเงินภายใต้กระแสโลกใหม่อย่างดิจิทัล ซึ่งทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรม และการดูแลความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน
และ (3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจเป็นมิติที่ท้าทายมากที่สุด และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปและมีความซับซ้อนมากขึ้นดังกล่าว ทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องปรับมุมมอง แนวนโยบายและเครื่องมือเพื่อรับมือกับความท้าทายได้อย่างตรงจุด ทันการณ์ อีกทั้งพร้อมปรับตัวเปิดรับข้อมูลและความเห็น รวมถึงประสานงานกับหลายภาคส่วนมากขึ้นเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ดูแลรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของธนาคารกลางต่อไปได้อย่างราบรื่น
2.การเสวนาในหัวข้อพลวัตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ (Growth and Inflation Dynamics)
ความท้าทายสำคัญของธนาคารกลางทั่วโลก นอกจากเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ยังรวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วโลก (unusually coordinated) ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศมีความผันผวนสูงกว่าในอดีต โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ หลายประเทศยังเผชิญความท้าทายจากปัญหาหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้การออกแบบและดำเนินนโยบายที่เหมาะสมทำได้ยากขึ้น
โดยผู้ร่วมเสนวนาได้หารือถึงความท้าทายในการดูแลเงินเฟ้อ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในภาพรวมและภาคส่วนที่มีความเปราะบางสูง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน แรงกดดันภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กระแสทวนกลับของโลกาภิวัตน์ (deglobalization) และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนส่งผลให้เงินเฟ้อมีความผันผวนสูงขึ้น
ดังนั้น ธนาคารกลางซึ่งมีภารกิจสำคัญในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินและดำเนินนโยบายเพื่อดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นใจให้สาธารณชน ผ่านการดำเนินนโยบายการเงิน นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งการสื่อสารนโยบายที่มีประสิทธิภาพ สอดประสานกับนโยบายการคลัง เพื่อรักษาสมดุลของการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจควบคู่กับการควบคุมเงินเฟ้ออย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน ในระดับโลกจำเป็นต้องมีการประสานนโยบายระหว่างธนาคารกลางเพื่อลดผลกระทบของการดำเนินนโยบายเพื่อดูแลเงินเฟ้อทั้งต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเศรษฐกิจหลักที่เป็นต้นทางของนโยบาย (spillovers and spillbacks) ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น เศรษฐกิจจีนซึ่งได้รับผลกระทบด้านเงินเฟ้อค่อนข้างน้อยจากผลผลิตอาหารที่ดีกว่าคาดในปีนี้และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ค่อนข้างต่ำจากถ่านหิน แต่การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอลงจากโควิด
ขณะที่เศรษฐกิจสหภาพยุโรปเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจากวิกฤตด้านพลังงาน และในระยะยาวประเด็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลยืดเยื้อต่อการจัดสรรทรัพยากรและแรงงานในภูมิภาคอีกด้วย
3.การเสวนาในหัวข้อ A Digitalised Monetary System in the Making?
ผู้ร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มพัฒนาการด้านเทคโนโลยีในอนาคตและผลกระทบต่อระบบการเงิน โดยเห็นว่าในอนาคต การเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น และภาคการเงินมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจและให้บริการลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ร่วมเสวนาเห็นประโยชน์จากเทคโนโลยีต่อระบบการเงินในการเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มการเข้าถึง (access) ได้ สามารถสนองตอบความต้องการของสังคม รวมทั้งเอื้อให้เกิดการแข่งขันในตลาดจากการที่บริษัทขนาดเล็กสามารถใช้เทคโนโลยีในการเข้าแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี การพัฒนาของเทคโนโลยีนำมาซึ่งความเสี่ยงที่ผู้กำกับดูแลควรตระหนักถึง เช่น การใช้เทคโนโลยีโดยผู้เล่นในภาคการเงินที่ขาดความเข้าใจในเทคโนโลยีนั้นอย่างแท้จริง ความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่อาจมีการกระจุกตัว ความเสี่ยงด้านไซเบอร์และอาชญากรรมด้านไซเบอร์ (cyber risk and cybercrime) ที่สูงขึ้น ความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว (privacy) และการรั่วไหลของข้อมูล เป็นต้น ซึ่งผู้กำกับดูแลควรมีแนวทางในการเสริมสร้างความเชี่ยวชาญเพื่อให้สามารถกำกับดูแลได้อย่างเท่าทัน
นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อมูลซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยี โดยเห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลซึ่งจะช่วยให้ภาคการเงินสามารถใช้ข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนได้ เช่น ช่วยให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้นในต้นทุนที่เหมาะสม ผู้ร่วมเสวนากล่าวถึงสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency : CBDC) ว่ามีหลายประเทศอยู่ในช่วงการทดสอบหรือทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว
โดยในปัจจุบันมีการศึกษาและทดลองการใช้งานในธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศ (cross-border) การใช้งานระหว่างสถาบันการเงิน (wholesale) และการใช้สำหรับรายย่อย (retail) ซึ่งการใช้งานสำหรับธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศ และการใช้งานระหว่างสถาบันการเงินนั้นมีประโยชน์ที่ชัดเจนในหลายด้าน เช่น การลดระยะเวลาและต้นทุนการทำธุรกรรม เพิ่มความโปร่งใสของธุรกรรม รวมถึงสามารถรองรับการใช้งานในรูปแบบอื่นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่น ธุรกรรมการโอนสินทรัพย์ในโลกจริงที่ถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลหรือโทเคน (tokenized asset) ระหว่างประเทศ
ในขณะที่การใช้งาน CBDC สำหรับรายย่อยนั้นอาจยังมีรูปแบบและแนวทางการใช้งานไม่ชัดเจนนัก แต่ธนาคารกลางควรมีความพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาใช้งานจริงได้เช่นกัน ทั้งนี้ การใช้งาน CBDC สำหรับรายย่อยอาจช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับประเทศที่ประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินในปัจจุบันได้
ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ภาคการเงินนั้นอาจไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดของความสามารถในการเข้าถึงหรือการทำงานร่วมกัน (interoperability) แต่อาจเกิดจากการขาดแรงจูงใจของผู้ให้บริการทางการเงินที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ การวางบทบาทของผู้ให้บริการแต่ละราย และกฎหมายและหลักเกณฑ์ โดยเฉพาะในธุรกรรมระหว่างประเทศซึ่งแต่ละประเทศอาจมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี การกำหนดกฎหมายและหลักเกณฑ์อาจไม่ได้เป็นหน้าที่ของภาครัฐหรือผู้กำกับดูแลเพียงอย่างเดียว แต่ภาคเอกชนเองควรมีบทบาทในการกำกับดูแลตนเอง (self-governing) เช่นกัน
4.Kevin Rudd in conversation with Tao Zhang : Asia in 2050
Dr.Rudd มองว่าภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงที่สำคัญในระยะปานกลางจากแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical tensions) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change) โดยชี้ว่าการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากได้รับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ (managed strategic competition) จะสามารถจำกัดความเสี่ยงของการประทุของความขัดแย้งและผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงอาจยังสามารถสร้างพื้นที่เพื่อสร้างความร่วมมือในบางด้านได้อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินโลกผ่านธนาคารกลางทั่วโลกซึ่งอยู่บนหลักการเดียวกัน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันแรงกดดันภูมิศาสตร์จะยังไม่รุนแรงถึงขั้นสงครามเย็นในอดีต แต่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระแสโลกาภิวัตน์ (globalization) และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจการค้า ทั้งนี้ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ (อาทิ UN G20 WTO IMF และ WB) ซึ่งมี mandates อยู่เหนือ national interests จำเป็นต้องช่วยสนับสนุน globalization ในฐานะ global public goods ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการเศรษฐกิจโลกในหลายทศวรรษที่ผ่านมา
สำหรับการเตรียมพร้อมเศรษฐกิจเพื่อรองรับผลกระทบจาก climate change แม้ว่าภูมิภาคเอเชียนับเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของ global CO2 emission (ประมาณการสำหรับปี 2025) แต่การปรับตัวไปใช้พลังงานหมุนเวียนค่อนข้างล่าช้ากว่าภูมิภาคอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในระยะที่ผ่านมาเอเชียมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในด้านนี้ โดยเฉพาะทิศทางนโยบายของประเทศขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจโดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (green transition) มากขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาค