xs
xsm
sm
md
lg

JSP เปิดไลน์ผลิตที่ 2 ธ.ค.นี้ ดันธุรกิจยาน้ำโตเต็มสูบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




"โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี" เตรียมเปิดใช้งานไลน์ผลิตที่ 2 ธ.ค.นี้ หลังเปิดใช้งานเตรียมลุยธุรกิจยาน้ำเต็มสูบ เพิ่มกำลังการผลิตสู่เดือนละ 2 ล้านขวด จากปัจจุบันอยู่ที่เดือนละ 7 แสนขวด ปีหน้าเดินเครื่องผลิตเต็มกำลังรองรับแบ็กล็อกที่ล้นมือ หลังเทรนด์ยาน้ำเติบโตตั้งแต่ช่วงโควิดจนขาดตลาด คาดหนุนรายได้ปีหน้าโต 2-3 เท่า มองช่องทางต่างประเทศยังมีโอกาสโตสูง


นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร เปิดเผยว่า หลังจากที่ JSP ได้ลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตไลน์ที่ 2 ไปก่อนหน้านี้ ปัจจุบันไลน์ผลิตที่ 2 คืบหน้าแล้วกว่า 80% คาดว่าจะพร้อมเปิดใช้เชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งหลังเปิดใช้งานไลน์ที่ 2 จะทำให้ผลการดำเนินงานของ JSP เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับในส่วนของผลิตภัณฑ์ยาน้ำปัจจุบัน JSP มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 7 แสนขวดต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 5 แสนขวดต่อเดือน อย่างไรก็ดี ภายในไตรมาส 4/2565 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 1 ล้านขวดต่อเดือน เนื่องจากบริษัทจะเพิ่มการผลิตเป็น 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับงานในมือที่มีอยู่ในตอนนี้ค่อนข้างมาก และที่สำคัญในเดือน ธ.ค.ที่จะถึงนี้ที่จะเริ่มเปิดใช้ไลน์ผลิตที่ 2 จะส่งผลให้มีกำลังการผลิตแตะ 2 ล้านขวดต่อเดือน ซึ่งคาดว่าในปีหน้ากำลังการผลิตจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ ส่งผลให้รายได้จากส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้คิดเป็นประมาณ 2-3 เท่าจากปัจจุบัน

“ยาน้ำที่ขายดี คือ ยาน้ำสำหรับเด็ก เนื่องจากหลังโควิดจบ เด็กกลับมาเปิดเทอมตามปกติ ทำให้เด็กไม่สบายกันเยอะมาก เพราะหากมีเด็กเป็นหวัดก็จะติดกันได้ง่าย จึงส่งผลให้ยาน้ำขาดตลาด เทรนด์ยาน้ำจึงยังเติบโต เรา IPO ช่วงที่มีการระบาดของโควิดยาน้ำเราจึงขายดีขึ้น การเข้าตลาดหุ้นทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นเรามากขึ้น มีออเดอร์มามากขึ้น ตอนนี้มีแบ็กล็อกพอสมควร แต่ก่อนกำลังการผลิตเราเต็มกำลังแล้ว หลังได้ทุนจาก IPO ทำให้เรามีทุนสำหรับขยายกำลังการผลิต เราใช้เวลา 1 ปีในการสร้างโรงงาน และเดือน ธ.ค.นี้เราจะพร้อมเดินเครื่องไลน์ 2 แล้ว” นายสิทธิชัยกล่าว

นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของตลาดยาน้ำโอกาสในการเติบโตยังมีอีกค่อนข้างสูงเพราะปัจจุบัน 90% เป็นตลาดในประเทศ ตลาดส่งออกยังมีเพียง 10% จึงมีช่องให้เติบโตได้อีกมาก ในปีนี้ลูกค้าในกลุ่ม AEC เริ่มกลับมา เพราะหลายประเทศเริ่มเปิดเมือง อีกทั้งในกลุ่ม AEC ความชื่นชอบยาใกล้เคียงกับไทย รวมถึงประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ไม่มีโรงงานยาของเอกชน จึงเป็นโอกาสของเราในการขยายไปประเทศเหล่านี้


กำลังโหลดความคิดเห็น