บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานงวดสะสม 9 เดือน ปี 2565 มียอดขายรวม 153,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานรวม 8,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% และมีกำไรสุทธิรวม 6,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 185 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 192 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยงวดสะสม 9 เดือนปี 2565 พบ บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 131 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมียอดขายรวม 153,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ต้นทุนขาย 121,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.0% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลงจาก 23.6% มาอยู่ที่ 21.0% กำไรจากการดำเนินงาน 8,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% และมีกำไรสุทธิรวม 6,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% โดย 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มียอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี
ด้านผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. มียอดขายรวม 52,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% กำไรจากการดำเนินงาน 2,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% ขณะที่กำไรสุทธิรวม 2,183 ล้านบาท ลดลง 18.6%
"ผลการดำเนินงานของ บจ. mai งวด 9 เดือนปี 2565 บจ. ส่วนใหญ่มียอดขายเติบโต สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว หลังจากผ่านช่วงการระบาดของ COVID-19 และการเริ่มกลับมาของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ตาม บจ. ส่วนใหญ่มีต้นทุนสูงขึ้น จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้อัตราการทำกำไรลดลง และโดยรวมยังสามารถควบคุมสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายได้ดี ทำให้กำไรจากการดำเนินงานยังคงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เริ่มเห็นการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจจัดงานอีเวนต์ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว"
ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 309,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากสิ้นปี 2564 และโครงสร้างเงินทุนรวมแข็งแรงขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.89 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับ 1.03 เท่า
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 193 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 580.47 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) อยู่ที่ 518,418 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 5,853 ล้านบาทต่อวัน