โลกในยุคปัจจุบันผู้คนต้องการที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีสุขอนามัย เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี สะดวกสบาย และตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เทรนด์ “Smart Home Energy” หรือการใช้พลังงานภายในบ้านอย่างอัจฉริยะ กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงของเจ้าของบ้านยุคใหม่ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอนาคต ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและประหยัดพลังงานให้เจ้าของบ้าน โดยสามารถควบคุมระบบต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเราจะสามารถตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในบ้านได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ยังเริ่มหันมาสนใจการใช้พลังงานโซลาร์เป็นพลังงานทดแทนมากขึ้น โดยเฉพาะโซลาร์ รูฟ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถตอบโจทย์และซัปพอร์ตให้ระบบอัจฉริยะต่างๆ ภายในบ้านใช้งานได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยผลิตกระแสไฟฟ้านำมาใช้ภายในบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ผ่านแอปพลิชันได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย
สัมผัสถึงนวัตกรรมขั้นสุดของหลังคาโซลาร์ ผ่าน ‘Home Energy Management’
อย่างที่ทราบกันดีว่า การติดตั้งหลังคา “โซลาร์ รูฟ” (Solar Roof) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในบ้านกำลังกลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมในกลุ่มบ้านพักอาศัย สาเหตุเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไลฟ์สไตล์ของคนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป โดยเริ่มพักอาศัยและทำงานที่บ้านกันมากขึ้น รวมถึงธุรกิจ SMEs และระดับโรงงานอุตสาหกรรม ก็หันมาให้ความสนใจทางเลือกใหม่อย่างโซลาร์ รูฟ กันไม่น้อย เนื่องจากช่วยควบคุมค่าไฟฟ้าได้และสามารถกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ช่วยลดต้นทุนและตอบโจทย์ทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ได้มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์สำหรับที่พักอาศัย พร้อมโซลูชันครบวงจร จึงได้พัฒนา SCG Solar Roof Solutions ระบบหลังคาโซลาร์ เอสซีจี นวัตกรรมขั้นสุดของหลังคาโซลาร์ที่ทำให้เจ้าของบ้านมั่นใจขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานอย่างสะดวกสบายและครอบคลุมทุกการบริหารจัดการพลังงานในบ้าน (Home Energy Management) โดยมีทั้งระบบ On grid เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟในเวลากลางวันเป็นหลัก และระบบ Hybrid ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิตในบ้าน สามารถกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน และควบคุมการใช้งานได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งถูกออกแบบมาใช้งานง่าย รองรับทั้ง iOS และ Android สามารถติดตามการทำงานของระบบหลังคาโซลาร์แบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้งานเห็นภาพได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับคนที่สนใจเทรนด์การใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น
หลักการทำงานของระบบหลังคาโซลาร์ เอสซีจี
นอกจากแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) ประสิทธิภาพสูง High Performance Crystalline ที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว ส่วนที่ขาดไม่ได้เลย คือ “อินเวอร์เตอร์” (Inverter) ซึ่งมีหน้าที่แปลงพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และส่งไปที่ตู้ไฟฟ้าหรือตู้เบรกเกอร์ ก่อนจ่ายไปสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยเอสซีจีได้ร่วมมือกับ Enphase เลือกใช้เทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ (Microinverter) โดยจะติดตั้งอยู่บริเวณใต้แผงโซลาร์เซลล์ และแปลงกระแสไฟฟ้าเป็นรายแผง ซึ่งไมโครอินเวอร์เตอร์ 1 ตัว จะต่อกับแผงโซลาร์ (Solar) 1 แผง อีกทั้งโซลาร์แต่ละแผงยังทำงานอย่างอิสระต่อกัน ช่วยทำให้โซลาร์ รูฟ (Solar Roof) ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีระบบ Rapid Shutdown ปิดระบบการทำงานทันทีอย่างรวดเร็วตามมาตรฐานให้ความปลอดภัยสูงสุด และยังมีนวัตกรรม Solar FIX ซึ่งเป็นนวัตกรรมการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาจากเอสซีจี โดยมีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ติดตั้งง่ายโดยไม่ต้องเจาะกระเบื้องหลังคา ทนทานต่อแรงลม และไม่รั่วซึมจากการติดตั้ง
ติดตั้งหลังคาโซลาร์ = การลงทุนคุ้มค่าถึง 25 ปี
การเลือกระบบการติดตั้ง SCG Solar Roof Solutions จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบ้าน โดยจะแบ่งเป็น 2 ระบบด้วยกัน ได้แก่ ระบบ on grid (ไม่มีแบตเตอรี่) เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟในเวลากลางวันเป็นหลัก และมีค่าไฟฟ้าต่อเดือน 3,000 บาทขึ้นไป ส่วนการทำงานในรูปแบบระบบ Hybrid (มีแบตเตอรี่กักเก็บไฟ) สามารถใช้โซลาร์ รูฟ ผลิตไฟในช่วงกลางวันเพื่อเก็บไว้ในแบตเตอรี่ และดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ในช่วงกลางคืนได้ ช่วยให้มีพลังงานสะอาดสำรองใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นับเป็นการลงทุนระยะสั้นที่ช่วยลดค่าไฟได้ในระยะยาวถึง 25 ปี โดยการลงทุนในระบบโซลาร์ รูฟ สำหรับบ้านพักอาศัย ในปี 2564 ค่า FT ไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.42 บาท ซึ่งทำให้ได้ผลตอบแทนประมาณ 10-12% ต่อปี เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1% เท่านั้น ส่วนในปี 2565 มีการขึ้นค่า FT ค่าไฟฟ้า อยู่ที่ 93.43 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 15-20% ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระยะยาวการลงทุนติดตั้ง SCG Solar Roof Solutions มีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก โดยระยะเวลาการคืนทุนของการติดตั้งประเภทบ้านพักอาศัยอยู่ที่ 7-10 ปีเท่านั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของระบบ และพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของแต่ละบ้าน ทั้งนี้การใช้ระบบโซลาร์ อาจจะมีความเสี่ยงต่างๆ ที่ส่งผลให้สมรรถนะในการผลิตไฟฟ้าลดลงประมาณ 10-20% เช่น สภาพอากาศ การเกิดฝุ่นหนา อย่าง PM 2.5 และสภาพแวดล้อมการผลิตไฟฟ้า เพราะหากแสงอาทิตย์มีความเข้มแสงน้อยกว่าปกติ มีเมฆปกคลุมเป็นจำนวนมาก หรือมีสภาพอากาศที่แปรปรวน จริงอยู่ว่าระบบโซลาร์เซลล์ยังสามารถทำงานผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตามปกติเพียงแต่อัตราการผลิตไฟฟ้าอาจลดลงตามสภาพและประสิทธิภาพของแสงแดด เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อการใช้งานอย่างคุ้มค่า ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบติดตั้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ให้สอดคล้องกับการใช้งานอย่างครอบคลุม ทั้งนี้ การติดตั้งจึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญและชำนาญการเพื่อดูแลและให้คำแนะนำ ตลอดจนการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานสูงสุด จะสามารถทำให้ระบบโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและคุ้มค่ามากที่สุดในระยะยาว