นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.85 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.91 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.75-36.00 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง หลังจากที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดสาย "Hawkish" ต่างออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของเฟด เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวกับทิศทางดอกเบี้ยเฟด ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.35% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.31%
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรายังคงมองว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทเริ่มเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ที่หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ ในฝั่งของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เราเห็นแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้นจากหุ้น บอนด์ และค่าเงิน ซึ่งแนวโน้มนักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยอาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้บ้างในระยะสั้น นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนรอเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยเฉพาะหากราคาทองคำปรับตัวลงใกล้โซนแนวรับ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำอาจเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้
อนึ่ง แม้ว่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อ แต่เราประเมินว่าแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ในโซน 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราประเมินว่าบรรดาผู้ส่งออกส่วนใหญ่ต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศในโซนดังกล่าว
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.42% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ยังน่ากังวล และแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แนวโน้มเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงิยเฟ้อให้สำเร็จ ได้กลับมาหนุนให้บอนด์ยิลด์ในฝั่งสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.77% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่แนะนำว่า นักลงทุนไม่ควรไล่ราคาซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่ยิลด์ปรับตัวลดลง และควรรอจังหวะที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยซื้อ เพื่อเตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนักในปีหน้า ซึ่งเรามองว่ายังมีความเสี่ยงที่บอนด์ยิลด์ระยะยาวจะปรับตัวสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น ข้อมูลตลาดแรงงาน หรือข้อมูลเงินเฟ้อยังคงสนับสนุนแนวโน้มเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนอาจเกินระดับ 5% และจุดที่จะทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด คือ การประชุมเฟดเดือนธันวาคม ซึ่งเฟดจะประกาศคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ใหม่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด และแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หนุนให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) รีบาวนด์ขึ้นสู่ระดับ 106.7 จุด นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,762 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนตุลาคม ส่วนในฝั่งเอเชียตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ซึ่งหากเงินเฟ้อมีทิศทางเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องอาจสนับสนุนให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เริ่มส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในอนาคตได้