xs
xsm
sm
md
lg

“พฤกษา” แจง Q4/65 เน้นสร้างกำไร ผุด 11 โครงการดันยอดขาย-รายได้ปลายปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อุเทน โลหชิตพิทักษ์
พฤกษาฯ เผย Q4/65 เน้นกำไรเติบโต เดินหน้าเปิดตัว 11 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 7,700 ล้านบาท หนุนยอดขาย โชว์แบ็กล็อกในมือ 13,300 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีรายได้และยอดขายสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าแน่นอน

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า “พฤกษา โฮลดิ้ง ทำรายได้ 6,832 ล้านบาท เติบโต 27% จากไตรมาสที่ผ่านมา และเติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิที่ 619 ล้านบาท เติบโต 44% จากไตรมาสที่ผ่านมา และเติบโต 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ทำอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30.9% และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ำ (Net Gearing Ratio) ที่ 0.34 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ 0.39 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของทั้ง 2 ธุรกิจหลัก ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเฮลท์แคร์

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4/65 จากข้อมูสถิติตัวเลข ยอดขายและได้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาทำให้เห็นถึงแนวโน้มในไตรมาสที่ 4 นี้จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 เพราะในไตรมาสสุดท้ายนี้บริษัทจะมียอดโอนจากโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการที่ยังทยอยโอนต่อเนื่องจากไตรมาส 3 และจะมีโครงการที่สร้างเสร็จใหม่ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งจะทยอยโอนอีก 4 โครงการ ภายในไตรมาสสุดท้ายนี้จะมียอดโอนเพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจน 

ขณะเดียวกัน จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,700 ล้านบาท ซึ่งจะเป็น สินค้าใหม่ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันยอดขาย เมื่อนับรวมกับโครงการที่ อยู่ระหว่างการขาย 129 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 70,000 ล้านบาท จะทำให้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีการเติบโตทั้งในด้านยอดขายและรายได้ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ประกอบกับมาตรการ LTV ที่จะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้จะทำให้ลูกค้าเร่งการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ในเวลาเดียวกันเพื่อเป็นการส่งเสริมทางด้านยอดขายบริษัทเตรียมจัดแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในช่วงปลายปีเช่นกัน นอกจากนี้ ในช่วงปลายปียังเป็นโอกาสของลูกค้าที่จะสามารถล็อกอัตราดอกเบี้ยเดิมไว้ก่อนที่จะมีการปรับตัวในปีหน้า

“โอกาสที่ในปีหน้าจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นยังมีอยู่สูง ดังนั้น การเร่งตัดสินใจซื้อและขอกู้สินเชื่อบ้านในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จึงเป็นโอกาสดีสำหรับการล็อกอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อนที่ในปีหน้าลูกค้าที่มีกำลังซื้อหรือมีปัญหาเกี่ยวกับรายได้จะทำการขอสินเชื่อได้ยากขึ้น”

นายอุเทน กล่าวว่า ในไตรมาส 4 เชื่อว่าอัตราการขายจะดีขึ้นสังเกตได้จากแนวโน้มการเติบโตของรายได้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ประกอบกับในช่วงปลายปีนี้ปัจจัยในเรื่องของบ้านต้นทุนเดิมยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น การผ่อนปรนมาตรการ LTVที่จะสิ้นสุดในสิ้นปีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวก ดอกเบี้ยยังอยู่ระดับต่ำแต่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นทำให้ลูกค้าเร่งตัดสินใจมากขึ้น นี่คือปัจจัยบวกที่จะทำให้เกิดผลดีกับลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปีนี้

สำหรับสต๊อกสินค้าต้นทุนเดิม เฉพาะในส่วนของโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนมีอยู่ในมือ 10,000 ล้านบาทเศษ ประกอบกับแบ็กล็อกรอรับรู้รายได้กว่า 13,300 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 มากกว่า 50% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 1/66 อย่างไรก็ตาม เมื่อนับรวมในส่วนของสินค้าที่อยู่ระหว่างการขาย 129 โครงการ มีมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท เมื่อบวกกับที่ดินรอการพัฒนาที่มีอยู่ในมือซึ่งจะสามารถพัฒนาโครงการใหม่ได้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาทเศษ ซึ่งสามารถรองรับการทำตลาดใน 3-5 ปีข้างหน้าโดยไม่ต้องมีการซื้อที่ดินเพิ่ม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทยังมีการเติบโตได้อย่างยั่งยืนได้เป็นอย่างดี

“อย่างไรก็ตาม ทีมงานยังคงเดินหน้าหาซื้อที่ดินแปลงใหม่เพิ่มเข้ามาเพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่มีการขยายตัวของดีมานด์ที่อยู่อาศัยที่ดี ดังนั้นในปีหน้าทิศทางการเติบโต ทั้งในด้านยอดขายและรายได้จะดีมากกว่าปีนี้แน่นอน” นายอุเทนกล่าวและว่า ทั้งนี้ในส่วนของไตรมาสสุดท้ายของปีนี้บริษัทจะเน้นในเรื่องของการสร้างการเติบโตในด้านของกำไรมากกว่ายอดขายซึ่งจะทำให้ในด้านของยอดขายนั้นไม่ได้ขยายตัวมากนัก


กำลังโหลดความคิดเห็น