นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 38.05 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 38.29 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.90-38.15 บาท/ดอลลาร์ ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) ท่ามกลางความหวังว่าเฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงปลายปี หลังจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ลดลงต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 50 จุด รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CB Consumer Confidence) เดือนตุลาคมที่ลดลงแย่กว่าคาด
นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดยังได้ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.63% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดตลาด +2.25% ตามแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ หลังจากที่บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.09% ตามการปรับลดมุมมองการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของผู้เล่นในตลาด
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าเร็วกว่าที่คาด หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ซึ่งหากตลาดยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่ออาจเห็นการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง หนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้ อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจจำกัดอยู่ในโซน 37.80-37.90 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากบรรดาผู้นำเข้าต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่อาจเริ่มกลับมาอยู่ในโหมด Wait and See เพื่อรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางหลักสำคัญ ทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในช่วงปลายสัปดาห์ ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจนอีกครั้ง
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรปปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +1.44% จากอานิสงส์ของรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่น Adyen +5.8% ASML +3.8% เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อสูง ความเสี่ยงวิกฤตพลังงาน และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุม ECB ในวันพฤหัสฯ นี้
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 110.95 จุด (-0.95%) ตามการเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดการถือครองเงินดอลลาร์ลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันโดยการแข็งค่าขึ้นกว่า +1.2% ของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) สู่ระดับ 1.146 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า นายกฯ คนใหม่ของอังกฤษ นาย Rishi Sunak จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) รีบาวนด์ขึ้นสู่ระดับ 1,655 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้างตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำ โดยเฉพาะแรงขายจากผู้เล่นที่เข้าซื้อทองคำในจังหวะที่ย่อตัวใกล้โซนแนวรับ 1,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในสัปดาห์ก่อนหน้า
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการส่วนใหญ่ยังคงออกมาดีกว่าคาดจะสามารถช่วยหนุนบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินได้
ส่วนในฝั่งไทย รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะอยู่ที่ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ (Trade Data) โดยตลาดประเมินว่าผลกระทบของการชะลอตัวเศรษฐกิจโลกจะกดดันให้ยอดการส่งออกของไทยโตเพียง +4.4%y/y ในขณะที่ยอดการนำเข้ายังคงอยู่ในระดับสูงและขยายตัวกว่า +20%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าในเดือนกันยายนจะยังคงขาดดุลราว -2.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งหากดุลการค้าขาดดุลกว่าคาดและยังมีทิศทางขาดดุลต่อเนื่องอาจกดดันการฟื้นตัวของดุลบัญชีเดินสะพัด แม้จะเริ่มมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นก็ตาม ทำให้เงินบาทอาจไม่สามารถแข็งค่าขึ้นไปได้มากในปีนี้